สวนเงินไร่ทอง 
 
การทำแปลงกิ่งตายางและแปลงกล้ายาง
รักบ้านเกิดทีม 27 สิงหาคม 2551
แปลงกิ่งตาควรเป็นเอกเทศ เป็นที่ราบ ดินดี ใกล้แหล่งน้ำ และการคมนาคมสะดวก มีการแบ่งแปลงให้ชัดเจน อย่าให้พันธุ์ยางปะปนกัน เมื่อต้นยางตาย ควรปลูกซ่อมโดยเร็วและให้ตรงกับพันธุ์เดิม และควรมีการใส่ปุ๋ยทุกครั้งที่ตัดต้นยาง เพื่อเลี้ยงกิ่งกระโดงและกิ่งตาเขียวในการตัดกิ่งตาเขียว ควรตัดให้พอดีกับความต้องการใช้ติดตาแต่ละครั้ง และควรมีการขอรับการจดทะเบียนแปลงเพาะขยายพันธุ์ยาง ตามศูนย์วิจัยยางต่าง ๆ ได้
แชร์
19,616
หลักการขยายพันธุ์ยาง : ยางพาราเป็นพืชที่ใช้พื้นที่ปลูกและจำนวนต้นปลูกต่อไร่มากเมื่อเทียบกับไม้ผลยืนต้นชนิดอื่นๆ ในแต่ละปีจะมีการผลิต วัสดุปลูกคือมีการขยายพันธุ์ยางเป็นปริมาณมาก ชิ้นส่วนของพืชที่ใช้ในการขยายพันธุ์ยางประกอบด้วย

1. ส่วนของต้นตอยาง (stock)

- ได้จากเมล็ดยางพารา ซึ่งอาจเป็นเมล็ดยางพื้นเมือง ที่มีรากแก้วและต้นที่แข็งแรง หรืออาจเป็นเมล็ดยางพันธุ์ดีที่ผสมโดยธรรมชาติ เมล็ดยางพันธุ์ PB 5/51, GT 1 และ PB 260 สามารถปลูกทำเป็นต้นตอ หรือต้นกล้ายางได้ดีกว่าเมล็ดพันธุ์อื่น

- เมล็ดยางพาราจะเสื่อมความงอกได้เร็วมาก ดังนั้น ควรเก็บเมล็ดมาเพาะโดยเร็วไม่ควรเกิน 20 วัน ซึ่งโดยปกติ เมล็ด ยางในฤดูจะให้เมล็ดในเดือนกรกฎาคม-กันยายน ส่วนเมล็ดยางนอกฤดูกาลจะตกให้เมล็ดน้อย และมีความสมบูรณ์ต่ำ จึงไม่นิยม นำมาทำการขยายพันธุ์

- ระยะเวลาการร่วงหล่นของเมล็ดยาง จะต้องเตรียมแปลงให้เสร็จก่อนเมล็ดยางหล่น ซึ่งปกติแล้ว เมล็ดยางจะร่วงหล่น ปีละหนึ่งครั้งนานประมาณ 3 เดือน ระยะเวลาการร่วงหล่นนั้นจะแตกต่างกันไปตามสภาพของท้องที่

- จังหวัดทางภาคใต้ฝั่งตะวันออก เมล็ดยางจะร่วงหล่นประมาณเดือนสิงหาคม

- จังหวัดทางภาคใต้ฝั่งตะวันตก เมล็ดยางจะหล่นประมาณ เดือนสิงหาคม-กันยายน

- จังหวัดทางภาคตะวันออก เมล็ดยางหล่นประมาณเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม

2. ส่วนของตายาง (scion)

- ได้จากกิ่งตาในแปลงขยายพันธุ์กิ่งตายางพันธุ์ดี สามารถซื้อจากหน่วยงานของรัฐ เช่น ศูนย์วิจัยยาง ศูนย์บริการวิชาการและปัจจัยผลิตการเกษตร และแปลงขยายพันธุ์ยางที่จดทะเบียนจากศูนย์วิจัยยางแล้ว ชิ้นส่วน ของตาที่นำมาใช้จะต้องมีความสมบูรณ์ และดูแลรักษาอย่างดี จึงจะทำให้ความสำเร็จในการติดตาสูง กิ่งตายางพันธุ์ดี นั้นต้อง ใช้พันธุ์ยางที่ทางกรมวิชาการเกษตรออกคำแนะนำทุก 4 ปี ซึ่งหน่วยงานที่ผลิตกิ่งตายาง และแปลงเอกชนจดทะเบียน จำเป็นต้อง เตรียมกิ่งตาไว้ให้พร้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งพันธุ์ยางชั้น 1


การสร้างแปลงกิ่งตายาง:

1. เลือกพื้นที่

- พื้นที่ควรเป็นที่ราบ ดินร่วนและมีความอุดมสมบูรณ์ มีการระบายน้ำดี อยู่ใกล้แหล่งน้ำ ไม่มีไม้ยืนต้นปะปน

2. การเตรียมพื้นที่

- ไถพลิกดิน 2 ครั้ง และไถพรวนอีก 2 ครั้ง เก็บเศษรากไม้ และวัชพืชออกจากแปลงหรือเผาทิ้ง

3. การวางผังแปลงกิ่งตา

- กำหนดพันธุ์ยางที่จะปลูก กำหนดปริมาณของพันธุ์ยางแต่ละสกุล จัดวางผังแปลง กิ่งตา ให้แยกพันธุ์ยางแต่ละสกุลเป็นแปลง ๆ ระหว่างแปลงย่อย ควรเว้นระยะห่างให้เห็นเด่นชัด ระยะระหว่างแปลงกว้างประมาณ 3-4 เมตร ในระยะแปลงย่อยมีหลักถาวรปักเป็นเครื่องหมายแสดงเขตแบ่งพันธุ์ยางได้ หรืออาจทำเป็นคูระบายน้ำไว้รอบแปลง เพื่อป้องกัน น้ำ ขังในแปลง

4. ระยะปลูก

- การปลูกสร้างแปลงกิ่งตา เพื่อการผลิตกิ่งตาเขียว ควรใช้ระยะปลูกดังนี้

2x1 เมตร = 800 ต้น/ไร่

1.5x1.5 เมตร = 711 ต้น/ไร่

5. วัสดุปลูก

- วางแนวปลูกแล้ว ขุดหลุมปลูกขนาด 50x50x50 ซม. ปลูกด้วยยางชำถุงขนาด 1-2 ฉัตร ปลูกด้วยต้นตอตา ยาง ปลูกด้วยต้นกล้า และติดตาด้วยพันธุ์ที่ต้องการใช้

6. การบำรุงรักษาแปลงกิ่งตายาง



การปลูกซ่อม :

- เมื่อต้นยางตาย ควรปลูกซ่อมทันทีให้ตรงตามพันธุ์ และถ้ามียางพันธุ์อื่น ๆ ปะปน ควรติดตาเปลี่ยน พันธุ์ให้ถูกต้อง


การปราบวัชพืช :

- ควรปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ อาจใช้แรงงานหรือสารเคมีก็ได้จะเริ่มกำจัดวัชพืชเมื่อยางอายุ 2, 4 และ 6 เดือน และกำจัดวัชพืชอีกครั้งหนึ่ง คือ ช่วง 1 เดือน ก่อนที่จะตัดกิ่งตายางไปติดตาขยายพันธุ์

การใส่ปุ๋ยกล้ายาง :

- สภาพดินร่วน ใช้ปุ๋ยเม็ด สูตร 11-6-4 หรือปุ๋ยผสมสูตร 8-14-3

- สภาพดินทราย ใช้ปุ๋ยเม็ด สูตร 10-5-9 หรือปุ๋ยผสมสูตร 8-13-7

- การใส่ปุ๋ยจะใส่หลังจากกำจัดวัชพืชไปแล้วทุกครั้ง ตารางเวลาการใส่ปุ๋ยแสดงในตารางที่ 1 ข้อควรระวังในช่วงระหว่าง 1 เดือน ที่จะ ตัดกิ่งตายาง ห้ามใช้สารเคมีปราบวัชพืชหรือใส่ปุ๋ยในแปลงกิ่งตา เพราะจะลอกแผ่นตาไม่ออก ทำให้เปอร์เซ็นต์ความสำเร็จ ในการติดตาลดลง

การบรรจุ ขนส่ง และการเก็บรักษากิ่งตา :

- กิ่งตาเขียวที่นำไปใช ้ต้องตัดก้านใบให้หมด กิ่งตาชนิด 2-3 ฉัตรจะตัดตรงข้อ เป็นท่อนยาวประมาณ 1 ฟุต หาก ต้องเก็บไว้ข้ามวันต้องชุบปลายทั้งสองด้วยขี้ผึ้ง

- นำกิ่งตาบรรจุลัง บุด้วยวัสดุ ฟางข้าว กาบกล้วย สลับกันเป็นชั้น ๆ ให้แน่น

- เมื่อได้รับกิ่งตาจะต้องเก็บไว้ในที่ร่ม รดน้ำให้ชุ่มนำไปติดตาให้เร็วที่สุด ถ้าจำเป็นต้องเก็บไว้ข้ามวัน และกิ่งตาจุ่มขี้ผึ้งแล้ว ให้ตัดส่วนที่จุ่มขี้ผึ้งออกแล้ว ตั้งกิ่งตาไว้ในภาชนะใส่น้ำประมาณ 3 ชม.จึงยกขึ้นห่อด้วยกระสอบชุบน้ำ เมื่อถึงวันรุ่งขึ้น จะต้องนำไปติดตาทันที

ตารางที่ 1 : ตารางแสดงเวลาการใส่ปุ๋ยยางพารา
การคลุมโคน :

- ก่อนเข้าหน้าแล้ง ควรใช้เศษวัชพืชหรือฟางข้าวคลุมโคนต้นยาง เพื่อช่วยรักษาความชื้นในดิน โดยคลุม โคนห่างจากต้นยาง ประมาณ 10 ซม.

การตัดแต่งเลี้ยงกิ่งตายาง :

- เมื่อเลี้ยงต้นแม่พันธุ์ให้เจริญเติบโตมีเปลือกสีน้ำตาลสูงจากพื้นดินประมาณ 1 เมตร หรือมีอายุประมาณ 1 ปี จะตัดกิ่งตา กระโดงไปใช้ได้ แต่ถ้าจะเลี้ยงเป็นกิ่งตาเขียวให้ตัดยอดฉัตรบนสุดทิ้ง ตัดเลี้ยงครั้งที่ 1 ปล่อยให้แตกกิ่งแขนงออกมา บริเวณฉัตร ยอดเลี้ยงไง้ 3-4 กิ่ง เมื่อฉัตรแก่แล้วก็ตัดไปใช้ได้พร้อมกันนี้ก็ทำการตัดเลี้ยงครั้งที่ 2 ต่อไป

- ในปีหนึ่ง ๆ จะตัดเลี้ยงกิ่งตาได้ 3 ครั้ง(ครั้งที่ 1, 2 และ 3) กิ่งตาเขียวที่ตัดไปใช้แต่ละครั้งควรมีอายุ 1 เดือนครึ่ง - 2 เดือน เมื่อหมดฤดูกาลติดตาแล้วจะตัดต้นกิ่งตาล้างแปลง (ตัดต่ำ) ให้เหลือกระโดง 1-2 กระโดง สูงจากพื้นดิน 75 ซม. เพื่อเลี้ยงกิ่ง กระโดงไว้ผลิตกิ่งตาเขียว ในปีที่ 2 เมื่อเลี้ยงกระโดงได้ 3-4 ฉัตร ก็ทำเหมือนกับเมื่อปีที่ 1 ทุกประการ

- ต้นกิ่งตายางในปีที่ 3 เลี้ยงกระโดงได้ 2-3 กระโดง

- ต้นกิ่งตายางในปีที่ 4 เลี้ยงกระโดงได้ 4 กระโดง

- ต้นกิ่งตายางที่สมบูรณ์ตั้งแต่ปีที่ 4 ขึ้นไป จะเลี้ยงได้ 4 กระโดง ๆ ละ 4-5 กิ่ง จะได้กิ่งตาเขียวต้นละ 16-20 กิ่ง สามารถ เลี้ยงได้ 3 รอบ/ปี ปีหนึ่ง ๆ จะได้กิ่งตาเขียวประมาณ 48-60 กิ่ง/ต้น ต้นแม่พันธุ์กิ่งตายางที่มีอายุเกิน 15 ปี ควรโค่นปลูกใหม่


การนำกิ่งตาเขียวไปใช้ :

- ก่อนนำกิ่งตาเขียวไปใช้ต้องตัดก้านใบออกให้หมด กิ่งตา 2-3 ฉัตร จะตัดตรงข้อเป็นท่อนยาวประมาณ 1 ฟุต( 30 ซม.) โดยเฉลี่ยกิ่งตายาง 1 ท่อน มีตาที่นำไปใช้ขยายพันธุ์ประมาณ 2-3 ตา แต่ภายหลังการขนส่ง หากกิ่งตาได้รับความกระทบ กระเทือน ทำให้ตายางบอบช้ำ จะเหลือตายางที่นำไปติดตา โดยประมาณ 1.5 ตาต่อกิ่งพันธุ์ 1 ท่อน

- การนำกิ่งตาไปใช้ต้องให้เร็วที่สุดภายใน 3 วัน แต่ถ้าชุบขี้ผึ้งที่ปลายทั้ง 2 ข้างของกิ่งตา จะสามารถยืดเวลาการนำไป ใช้ได้นานถึง 5 วัน และต้องหมั่นรดน้ำให้เปียกชื้นอยู่เสมอ


การสร้างแปลงกล้ายาง : ถือหลักพิจารณาสภาพพื้นที่ดังต่อไปนี้

1. พื้นที่สำหรับสร้างแปลงกล้า

- ควรเป็นที่ราบ สามารถระบายน้ำได้ดี อยู่ใกล้แหล่งน้ำ การคมนาคมสะดวก ควรเป็น ดินร่วน ดินที่ไม่เหมาะสม คือดินทรายจัด และดินเหนียว เพราะการระบายน้ำไม่ดี

2. การเตรียมดิน

- ไถพลิกดิน 2 ครั้ง หลังจากนั้นไถพรวนอีก 1-2 ครั้ง เพื่อให้พื้นที่เรียบสม่ำเสมอ ในขณะเดียว กัน ควรเก็บเศษวัชพืชออกจากแปลงปลูกให้หมด ในการไถพรวนครั้งสุดท้าย ควรหว่านปุ๋ยรอกฟอสเฟต 100 กก./ไร่

3. ชนิดและสิ่งปลูก

- ปลูกด้วยเมล็ดสด ใช้เมล็ดยางที่เก็บมาจากสวน นำไปปลูกในแปลงโดยเรียงเมล็ด การปลูกโดยวิธีนี้ใช้เมล็ดไร่ ละประมาณ 250-300 กก. เมื่อเมล็ดงอกจะต้อง ถอนแยก คัดต้นเลวออกให้เหลือเฉพาะที่ แข็งแรง ไว้สำหรับติดตา

- ปลูกด้วยเมล็ดงอก ปลูกโดยการนำเมล็ดมาเพาะเสียก่อน แล้วนำเมล็ดที่เริ่มงอก แต่ยังไม่แตกหน่อ หรือออก รากไปปลูกในแปลง

- ปลูกต้นกล้า 2 ใบ ใช้ต้นกล้าที่แตกใบแล้ว ซึ่งได้จากการเพาะหรือถอนจากสวนยางไปปลูก


การคำนวณเมล็ดที่ใช้เพาะกล้ายาง :

- เมล็ดยางใหม่ 1 ปี๊บ หนักประมาณ 9-10 กก. มีประมาณ 1,800-2,000 เมล็ด เมล็ดยาง 1 กก. มีประมาณ 200-240 เมล็ด เมล็ดยาง 1 กระสอบป่าน หนักประมาณ 55-60 กก. ปกติเมล็ดยางใหม่จะมีเปอร์เซ็นต์ความงอกประมาณ 80-90% ถ้า เก็บเมล็ดยางไว้นานเกิน 10 วัน เปอร์เซ็นต์ความงอกจะลดลงเหลือเพียงประมาณ 40-50%


การเตรียมแปลงเพาะเมล็ดยาง:

1. ขุดพลิกดินให้ลึกประมาณ 20 ซม. แล้วพรวนดินให้เป็นก้อนเล็ก ๆ

2. เก็บเศษรากไม้ที่ปนอยู่ในแปลงออกให้หมด

3. ยกแปลงขนาดกว้าง 1 เมตร สูงประมาณ 15-20 ซม. ส่วนความยาวของแปลงขึ้นอยู่กับจำนวนเมล็ดที่ใช้เพาะ

4. ใช้แกลบหรือขี้เลื่อยเก่า ๆ กลบบนแปลงเพาะแล้วเกลี่ยให้เรียบสม่ำเสมอ

แปลงเพาะอาจจะทำในระหว่างแถวยางใหญ่ก็ได้ ซึ่งไม่ต้องทำร่มกันแดดให้อีกแต่ถ้าทำในที่โล่งแจ้งจะต้องทำเพิงคลุม ให้ร่ม โดยใช้ใบมะพร้าวหรือวัสดุอื่น ๆ


การจัดเรียงเมล็ดบนแปลงเพาะ ;

1. เกลี่ยเมล็ดยางให้เรียงกันเพียงขั้นเดียว และสม่ำเสมอกันตลอดทั้งแปลง

2. คว่ำด้านแบนของเมล็ดยางลงและกดเบา ๆ

3. ใช้แกลบหรือขี้เลื่อยกลบทับอีกครั้งเพียงเบา ๆ

4. รดน้ำบนแปลงเพาะเบา ๆ เช้า-เย็น ทุกวัน (หากฝนตกไม่จำเป็นต้องรดน้ำอีก)

5. หลังจากเพาะเมล็ดได้ 5 วัน หมั่นตรวจดูเมล็ดงอกในแปลงเพาะทุกวัน

6. นำเมล็ดที่งอกแล้วไปปลูกในแปลงชำทุก ๆ วัน และควรทำด้วยความระมัดระวัง

7. คัดเมล็ดที่ไม่งอกภายใน 14 วันนับจากวันเพาะทิ้ง เพราะเมล็ดที่งอกหลังจากนี้จะเป็นกล้ายางที่ไม่สมบูรณ์ การทิ้ง เมล็ดยางที่งอกแล้วไว้ในแปลงนาน ๆ จะทำให้รากยาว การขนย้ายไปปลูกจะทำให้รากหักเสียหายง่าย


การปลูกในแปลงกล้ายางโดยใช้เมล็ดงอก:

- หลังจากเตรียมดินในแปลงเรียบร้อยแล้ว การปลูกด้วยเมล็ดงอกใช้ระยะปลูก 15x70 ซม.หรือ 20x70 ซม. จะปลูก ได้ประมาณ 15,000 ต้น และ 12,000 ต้น ตามลำดับ

การบำรุงรักษาแปลงกล้ายาง:

- แปลงกล้ายางควรได้รับการบำรุงรักษาเป็นอย่างดี เพื่อที่จะได้กล้ายางที่เจริญเติบโตแข็งแรงและสมบูรณ์เต็มที่ ในการ บำรุงรักษาควรปฏิบัติดังต่อไปนี้

ก. การกำจัดวัชพืช - การกำจัดวัชพืชในแปลงกล้ายางนิยมใช้สารเคมี เพราะจะประหยัดค่าใช้จ่าย ได้ดีกว่าใช ้แรงงาน

ครั้งที่ 1 - กำจัดวัชพืชก่อนงอก ทำการพ่นสารเคมีก่อนหรือหลังการปลูก โดยใช้ไดยูรอน อัตรา 250 กรัม(สารออกฤทธิ์) ผสมน้ำ 80 ลิตรต่อไร่ ใช้หัวฉีดสีแดงเบอร์ 0.078

ครั้งที่ 2 - หลังจากปลูกได้ 6-8 สัปดาห์ ถากวัชพืชให้หมด แล้วพ่นด้วย ไดยูรอน อัตรา 120 กรัม(สารออกฤทธิ์) ผสมน้ำ 50 ลิตรต่อไร่ ใช้หัวฉีดสีเหลือง เบอร์ 0.040

ครั้งที่ 3 - เมื่อต้นกล้ายางอายุ 4 เดือน ให้ถากวัชพืชออก แล้วพ่นตามด้วย ไดยูรอน ในอัตราเดิม

ครั้งที่ 4 - ระยะติดตา ใช้ พาราควอท อัตรา 60 กรัม(สารออกฤทธิ์)ต่อไร่ ผสมน้ำ 50-80 ลิตร ใช้หัวฉีดสีเหลือง เบอร์ 0.040

ข. การใส่ปุ๋ย - ต้นกล้ายางที่ตั้งตัวได้แล้ว ควรใส่ปุ๋ยเป็นระยะ ๆ ต้นกล้ายางจะแข็งแรง และเจริญเติบโตเร็ว

1. เตรียมดินใช้ปุ๋ยรอกฟอสเฟต 100 กก.

2. ปุ๋ยที่ใช้สำหรับกล้ายาง

- สำหรับดินทราย ใช้ปุ๋ยผสมสูตร 8-13-7 หรือปุ๋ยเม็ดสูตร 10-5-9

- สำหรับดินร่วน ใช้ปุ๋ยผสมสูตร 8-14-3 หรือปุ๋ยเม็ดสูตร 11-6-4

3. ใส่ปุ๋ยทุกระยะ 1-2-3 เดือนหลังปลูกและใส่อีกครั้งก่อนติดตา 1 เดือน

4. ใช้ปุ๋ยในอัตราครั้งละประมาณ 60 กก.ต่อไร่ ทั้งหมดจะใช้ปุ๋ยประมาณ 240 กก.ต่อไร่


วิธีใส่ปุ๋ย:

1. กำจัดวัชพืชก่อนใส่ปุ๋ยทุกครั้ง

2. การใส่ปุ๋ย 2 ครั้งแรก หว่านปุ๋ยเป็นแถบกว้างประมาณ 8 ซม. โดยหว่านให้ห่างจากแถวยางข้างใดข้างหนึ่งประมาณ 3.5 ซม.

3. การใส่ปุ๋ยครั้งต่อไปควรหว่านปุ๋ยให้ทั่วแปลง และควรระมัดระวังอย่าให้ปุ๋ยถูกใบอ่อนของกล้ายาง

ค. การคลุมดิน - ควรคลุมดินเมื่อต้นยางอายุได้ 2 เดือน เป็นต้นไป เพื่อควบคุมวัชพืชและควบคุมความชื้นในดิน ให้เพียงพอต่อการเจริญเติบโตของต้นกล้ายาง วัสดุที่ใช้ควรเป็นเศษวัชพืช หรือวัสดุที่หาง่ายในท้องถิ่น ควรใช้วัสดุคลุมดินในระหว่างแถวกล้ายางในท้องที่แห้งแล้ง สามารถติดตาต้นกล้าได้ก่อนการไม่คลุมดิน ประมาณ 2 เดือน

ง. การคัดต้นเลวทิ้ง - ควรกระทำเมื่อต้นกล้ายางได้ประมาณ 2-3 เดือน หลังจากปลูกโดยเลือกถอนต้นยางที่แคระแกร็นหรือต้นยางที่คดงอทิ้ง เหลือไว้ในแปลงสำหรับติดตาเฉพาะต้นกล้ายางที่แข็งแรง ต้นกล้ายาง เมื่ออายุ 6-8 เดือน หรือมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางที่ระดับ 10 ซม. จากพื้นดินได้ไม่ต่ำกว่า 1 ซม. สามารถติดตาได้


หลักเกณฑ์การขอจดทะเบียนแปลงเพาะขยายพันธุ์ยาง:

- แปลงขยายพันธุ์ยางที่จะขอจดทะเบียนเพื่อจำหน่ายนั้น จะต้องเตรียมแปลงให ้เข้าหลักเกณฑ์ในการสร้างแปลงกิ่งตา และการสร้างแปลงกล้ายาง นอกเหนือจากนั้นแล้ว ผู้ขอจดทะเบียนจะต้องดำเนินการดังนี้

1. ผู้ประสงค์จะขอจดทะเบียนแปลงเพาะขยายพันธุ์ยาง ต้องกรอกแบบฟอร์มใบยื่นคำขอ แบบ กย.80 ต่อหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

- ศูนย์วิจัยยาง สำนักงานสงเคราะห์การทำสวนยางทุกจังหวัด ศูนย์บริการวิชาการฯ (สถานีทดลองยางทุกแห่ง)

- สำนักงานเกษตรจังหวัด และเกษตรอำเภอ

(ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม ถึงวันที่ 31 ธันวาคม ของทุกปี หากพ้นกำหนดนี้จะไม่รับพิจารณา)

2. ผู้ที่ประสงค์จะสร้างแปลงเพาะขยายพันธุ์ยางเพื่อจำหน่าย จะต้องยื่นความจำนงพร้อมรายละเอียดดังนี้

2.1.)ความมุ่งหมายในการสร้างแปลงเพาะขยายพันธุ์ยาง

- เพื่อผลิตกิ่งตายางพันธุ์ดีจำหน่าย

- เพื่อผลิตกิ่งตายางพันธุ์ดีและต้นตอตายางพันธุ์ดีจำหน่าย

2.2.) แผนที่ที่สร้างแปลง พร้อมทั้งตำบลที่ตั้งของแปลงเพาะขยายพันธุ์ยาง


3. การตรวจสอบพันธุ์ยาง

3.1.) ศูนย์วิจัยยางจะส่งเจ้าหน้าที่ออกตรวจสอบพันธุ์ยาง และการปฏิบัติบำรุงรักษาแปลงเพาะพันธุ์ยางที่จด ทะเบียน แล้วปีละ 2 ครั้ง

ครั้งแรก - จะตรวจสอบก่อนถึงฤดูกาลที่จะใช้กิ่งตายางประมาณ 1-2 เดือน

ครั้งที่สอง - หลังจากหมดฤดูกาลที่ใช้กิ่งตายางแล้วประมาณ 3 เดือน

3.2.) เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพันธุ์ยางของศูนย์วิจัยยาง มีอำนาจสั่งหรือทำลาย ขุดถอนพันธุ์ยาง ที่แปลงปลอมปน อยู่ใน แปลงขยายพันธุ์ได้




แหล่งอ้างอิงข้อมูล :
สถาบันวิจัยยางพารา กรมวิชาการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์...
Your browser is out-of-date!

Update your browser to view this website correctly.Update my browser now

×