เรื่องเด็ดเกร็ดเกษตร

หนุนปลูกไม้ยืนต้น หลักทรัพย์ค้ำประกัน การขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน

08 กันยายน 2563
1,426
พาณิชย์ และ ธ.ก.ส. ลงพื้นที่ จ.อ่างทอง หนุนเกษตรกรปลูกไม้ยืนต้นที่มีค่าบนที่ดินของตนเอง ใช้เป็นหลักประกันการขอสินเชื่อจากสถาบันเงินยามจำเป็น เตรียมซื้อขายกันในอนาคต ภายใต้ชื่อ "คาร์บอนเครดิต"

นางสาวปัทมาวดี บุญโญภาส รองอธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์ โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ร่วมกับ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ลงพื้นที่บ้านคลองคต หมู่ 2. ต.หลักแก้ว อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง เพื่อส่งเสริมและสร้างแรงบันดาลใจให้เกษตรกรในพื้นที่หันมาปลูกไม้ยืนต้นที่มีค่าบนที่ดินของตนเองมากขึ้น พร้อมกระตุ้นให้เกิดการใช้ประโยชน์จากที่ดินอย่างคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งการปลูกไม้ยืนต้นนำมาซึ่งประโยชน์หลายด้าน เช่น เป็นการเพิ่มมูลค่าต้นไม้ เพิ่มแหล่งออกซิเจนให้พื้นที่ป่าและประเทศ เป็นการออมและสร้างรายได้ในอนาคต เป็นมรดกให้ลูกหลาน และสามารถใช้เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันการขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินภายใต้กฎหมายหลักประกันทางธุรกิจ
ด้านนายอดิเรก วงษ์คงคำ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาชนบท ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ประโยชน์ของการปลูกไม้ยืนต้นอีกอย่างหนึ่งคือการเพิ่ม คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) ที่อาศัยผืนป่าเป็นแหล่งผลิตออกซิเจนขนาดใหญ่ เนื่องจากปัจจุบันทั่วโลกกำลังเผชิญกับวิกฤตสิ่งแวดล้อม ทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมามากมาย เช่น อุณหภูมิโลกสูงขึ้น น้ำแข็งบริเวณขั้วโลกละลายอย่างรวดเร็ว น้ำท่วม ดินถล่ม แห้งแล้ง และมลพิษทางอากาศ เป็นต้น ดังนั้น ธ.ก.ส. และ กรมพัฒนาธุรกิจการค้า จึงต้องการส่งเสริมและผลักดันให้เกษตรกรและประชาชนปลูกไม้ยืนต้นเพื่อพัฒนาเป็นพื้นที่ป่า และให้เป็นแหล่ง "คาร์บอนเครดิต" ของโลกเพื่อการซื้อขายในอนาคต โดย คาร์บอนเครดิต เป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่สามารถตีราคาเป็นเงินและสามารถซื้อขายกันได้ในตลาดเฉพาะที่เรียกว่า "ตลาดคาร์บอน" โดยในอนาคตคาดว่าจะเป็นสินค้าที่มีความสำคัญและมีการซื้อขายกันมากยิ่งขึ้น เพื่อทดแทนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (คาร์บอนไดออกไซต์) ที่ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาผลาญเชื้อเพลิงในโรงงานอุตสาหกรรมหรือจากการคมนาคม

ปัจจุบัน (ข้อมูล ณ วันที่ 28 สิงหาคม 2563) มีผู้ขอนำไม้ยืนต้นมาจดทะเบียนสัญญาหลักประกันทางธุรกิจแล้ว จำนวน 109,007 ต้น มูลค่ารวม 132,014,509บาท

แหล่งอ้างอิงข้อมูล :
ฐานเศรษฐกิจ