

"ปลูกพริกเขียวพันธุ์ดวงมณี
ใช้เวลา 70 วัน ทำเงินได้เป็นแสน"
คุณอภิสิทธิ์ จิตพิทักษ์
อภิสิทธิ์ จิตพิทักษ์ ยึดอาชีพปลูกพริกหลังนา บนพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่เหมาะสมต่อการเติบโตของพริก ณ ตำบลโรง กระแสสินธุ์ จังหวัดสงขลา ด้วยมีชัยภูมิเป็นต่อทำให้พริกเติบโตดี มีต้นทุนในการจัดการต่ำกว่าทำนาปี เพราะเลือกชนิดพืชได้เหมาะสมกับพื้นที่ พริกจึงให้ผลผลิตสูง โรคแมลงมีรบกวนน้อย และมองการตลาดก่อนลงมือผลิต เน้นปลูกพริกเขียวพันธุ์ดวงมณี ที่ตลาดมีความต้องการตลอดปี ไม่ว่าจะผลิตพริกออกมาเท่าไหร่ก็ขายผลผลิตได้หมด ทั้งยังมีต้นทุนน้อยกว่าการทำนา ปลูกครั้งเดียวขายได้เงินแสน
คุณอภิสิทธิ์ จิตพิทักษ์ อายุ 42 ปี เจ้าของไร่พริกเขียวจิตพิทักษ์ ยึดอาชีพปลูกพริกขยหลังนา มานหลายปี จนมีความเชี่ยวชาญการจัดการพริกเขียวในระดับที่หาตัวจับยาก อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 4 ม.3 ต.โรง อ.กระแสสินธุ์ จ.สงขลา จบการศึกษระดับ ม.6 มีอาชีพหลักคือเป็นนักการภารโรง และ ขับรถรับส่งนักเรียน รวมไปถึงทำการเกษตรควบคู่ไปด้วย โดยปลูกข้าวและพริกเขียวสลับกัน มีสมาชิกในครอบครัวทั้งหมด 4 คนภรรยา คือ นางกาญจนา จิตพิทักษ์ การศึกษา อนุปริญญาอาชีพเป็นแม่บ้านค้าขาย และมีบุตรชาย 2 คน คือ นายศุภชัย จิตพิทักษ์ อายุ 18 ปี ศึกษาอยู่โรงเรียนสงขลาเทคโนโลยีสงขลา สาขา การไฟฟ้า และ ด.ช.กฤษพล จิตพิทักษ์ อายุ 12 ปี กำลังเรียนอยู่ ชั้นป.6 โรงเรียนบ้านโคกแห้ว
คุณอภิสิทธิ์ เท้าความถึงเส้นทางการทำเกษตรของตนว่า "การเกษตรที่ตนทำเป็นหลัก คือ ปลูกพริกเขียวสายพันธุ์ดวงมณี สลับกับการทำนาข้าว แต่หลังๆ หันมายึดการปลูกพริกเขียวเป็นหลัก เพราะมีต้นทุนในการจัดการต่ำกว่าทำนา และราคาดีกว่า โดยเน้นการใช้แรงงานของคนในครอบครัวเข้ามาช่วย เพื่อเป็นการปลูกฝังวิชาชีพให้แก่ลูกทั้งสองคนและประหยัดต้นทุนด้านแรงงาน" ในการทำงานภาคการเกษตรจึงทำพร้อมหน้ากันทั้งครอบครัว ซึ่งก่อนหน้าที่จะมาทำงานอยู่บ้าน คุณอภิสิทธิ์ เองก็เคยไปขายแรงงานที่ กทม. ตั้งแต่ พ.ศ. 2536-2541 เหมือนเช่นหนุ่มสาวทั่วไป แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงหันหลังจากกรุงกลับมาทำนาอยู่บ้าน ทำนาไปได้ 18 ปี พบว่าไม่ไหว เพราะรายรับไม่พอรายจ่าย ต้นทุนเยอะ ทั้งปุ๋ยยาก็มีราคาแพง จึงคิดหาปลูกพืชอื่นเป็นแหล่งสร้างเงินแทนการทำนา แต่ก็ยังทำนาอยู่เรื่อยมาไม่ขาด ทำแค่พอเก็บไว้กินเอง ไม่เน้นทำมากเพราะขาดทุนหลายรอบ แถมยังจะมีหนี้สินเพิ่มขึ้นอีกด้วย
ก็พอดีมีญาติแนะนำให้ปลูกพริกเขียวสายพันธุ์ดวงมณี ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่ตลาดต้องการ จึงเลยทดลองปลูกเพื่อสร้างรายได้เพิ่ม พบว่าการปลูกพริกนั้นมีต้นทุนน้อยกว่าการทำนามาก ไม่ต้องไปเสียเงินจ้างไถนา จ้างหว่านข้าว หว่านปุ๋ย ดูดน้ำ เหมือนการทำนา ที่มีรายจ่ายเยอะแยะเต็มไปหมด ปลูกพริกมาเป็นเวลาสองปีกว่า รายได้ก็เพิ่มขึ้นมาก จนสามารถปลดหนี้ได้บ้างบางส่วน ซึ่งตนคาดหวังว่าถ้าราคาพริกยังได้ราคาดีต่อไปในวันข้างหน้า ความเป็นอยู่คงจะดีขึ้นมากและสามารถส่งเสียลูกจนเรียนจนจบได้อย่างแน่นอน
และปลูกเฉพาะพริกเขียวดวงมณี ซึ่งเป็นพริกผลใหญ่ เมื่อพริกมาเจอสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ต้นพริกก็เจริญเติบโต แข็งแรงดี จึงไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องโรครากเน่า ซึ่งเป็นโรคคู่ฮิตของพริก เนื่องจากดินมีการระบายน้ำดี และพื้นที่มีความลาดเอียงจึงถ่านเทน้ำได้สะดวก การนำพริกมาปลูกในพื้นที่นี้จึงออกดอกดี ดอกมีสีเขียวสวย ให้ผลใหญ่น้ำหนักดี จำหน่ายได้ราคาดี มีผลกำไรวงอกงาม เพราะต้นทุนในการจัดการโรคแมลงมีน้อย เกษตรกรที่ปลูกพริกที่นี่จึงมีความสุขกับรายได้ที่ได้รับ และมีความเป็นอยู่ที่ดี เพราะพริกเขียวพันธุ์ดวงมณีที่ตนเป็นผู้ริเริ่มนำเข้ามาปลูก
คุณอภิสิทธิ์ จึงมีแนวคิดที่จะพลิกฟื้นที่นาที่เหลืออยู่มาปลูกพริกเขียวที่สามารถให้ผลผลิตได้ตลอดทั้งปีเพิ่มมากขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้ เนื่องจากผลผลิตที่ผลิตได้ในปัจจุบันนั้นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด
"การลงทุนปลูกพริกค่อนข้างคุ้มค่า ลงทุนครั้งเดียวเก็บเกี่ยวได้ถึง 10 ครั้ง(เก็บผลทุก 20 วัน) ลงทุนครั้งแรกมีค่าเม็ดพันธุ์และปรับหน้าดิน ถ้าปลูกเดือนมกราคม จะเก็บได้กลางเดือนมีนาคม-เดือนตุลาคม พอเดือนพฤศจิกายนจะเริ่มปลูกรอบใหม่ หากดูแลดีจะได้ทุนและกำไรคืนในรอบแรกเลย ปลูกพริกจึงไม่มีขาดทุนแต่กำไรจะน้อยหรือมากขึ้นอยู่กับราคา"

ปลูกพริกเขียวเพียง 70 วันก็ได้เก็บกินผล
การปลูกพริก
การลงกล้า : ก่อนปลูกให้ไถแปลดินที่จะปลูกพริกอีกครั้งหนึ่ง เสร็จแล้วเดินหัวสปริงเกอร์ก็จะใช้เหล็กหรือไม้ก็ได้ทำให้แหลมปักให้เป็นหลุม ไม่ต้องลึกมาก ลึกประมาณ 3 นิ้ว ความห่างของหลุมประมาณ 70×70 ซม. โรยปุ๋ยลงในหลุมเล็กน้อย แล้วหย่อนต้นพริกลงในหลุมแล้วกลบดินบางๆ
สูตรปุ๋ยเร่งดอก เร่งผลพริก การันตีใช้ได้ผลดีจริง!! :
1.ไข่ไก่ จำนวน 2 กก.
2.กากน้ำตาล จำนวน 2 กก.
3.นมเปรี้ยว จำนวน 2 กล่อง (ขนาดกล่องละ 10 บาท)
4.น้ำมะพร้าวอ่อน จำนวน 2 ลูก
5.ลูกแป้งข้าวหมาก จำนวน 2 ก้อน
6.ถังหมักขนาด 150 ลิตรพร้อมฝาปิด จำนวน 1 ใบ
ขั้นตอนการทำ : นำไข่ไก่ทั้งเปลือกมาบดให้ละเอียดและบดลูกแป้งให้ละเอียด ใส่ในถังหมัก ใส่นมเปรี้ยว น้ำมะพร้าวและกากน้ำตาล คนให้เข้ากันเสร็จแล้ว หมักทิ้งไว้ 2 สัปดาห์(คนทุกวันเช้าเย็น) สังเกตว่าถ้าไม่มีสีขาวขึ้นฟองและมีกลิ่นหอมของนมเปรี้ยวก็ใช้ได้
การนำไปใช้ :นำน้ำหมัก 20 ซีซี ผสมกับน้ำเปล่า 20 ลิตร ต่อพริกเขียวจำนวน 1ไร่ ฉีดพ่นให้ทั่วไร่ 7 วัน ฉีด1 ครั้ง ฉีดจนครบ 10 ครั้ง จนกว่าพริกจะหมดอายุการเก็บเกี่ยว
1. ซื้อเมล็ดพันธุ์พริกเขียว กระป๋องล่ะ 500 บาทได้ประมาณ 4,000-5,000 ต้น
2.ค่าจ้างไถไร่ละ 300 บาท ขี้วัว ขี้ไก่ ขี้แพะ กระสอบละ 25-30 บาท ถ้าเพาะต้น
กล้าขายต้นละ 2 บาท ขายถาดละ 200 บาท
สรุปทุน-กำไรต่อรอบการผลิต :
- ผลผลิตได้ทั้งหมด 2,343 กก. ราคา กก.ละ 50=117,150 บาท
- ค่าแรง 23,430 ค่าปุ๋ย6,500 = คงเหลือ 87,220 บาท (รอบที่ผ่านมาขึ้นอยู่กับราคาแต่ละวัน)
ด้านการตลาด คุณอภิสิทธิ์ จะทำการตลาดเอง จากเดิมที่ไม่มีคนรู้จัก ก็ไปขายในตลาดใกล้บ้าน พอแม่ค้า พ่อค้าเริ่มรู้จักว่ามีพริกขายก็สั่งกันเข้ามาตลอด ที่สำคัญมีญาติมาบอกว่าให้ลองขายส่งประเทศมาเลเซียดู จะได้ราคาสูงกว่า ก็เลยลองขายดู จะได้ราคาแพงกว่าประมาณ 10-15 บาทต่อกิโลกรัม และจะมีพ่อค้าคนไทยมาซื้อเพื่อนำไปขายที่ประเทศมาเลเชียถึงที่ แค่เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วโทรหาให้พ่อค้ามารับซื้อถึงสวนพริกเลย สำหรับราคาขายนั้นจะดูราคากันวันต่อวันเพราะราคามีการขึ้นลงทุกวันไม่เหมือนกัน รายรับก็จะเป็นหลักแสนต่อรอบการเพาะปลูก ซึ่งเป็นรายได้ที่ใช้อยู่กินและส่งเสียลูกทั้งสองคนให้เรียนต่อได้สบายๆ
การเลือกทำการเกษตรชนิดใด นอกจากจะอาศัยความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของผู้ปลูกแล้วยังจำเป็นต้องเรีัยนรู้ว่าพืชแต่ละชนิดมีอุปนิสัยแบบใด เหมาะสมต่อการเพาะปลูกแบบไหน เข้ากับสภาพแวดล้อมที่เรามีหรือไม่ หากเรียนรู้และทำการเพาะปลูกให้ตรงจุด ก็จะลดขั้นตอนการจัดการ และ ต้นทุนที่เป็นปัจจัยในการผลิตลงไปได้ ผลคือมีต้นทุนน้อยลง และมีกำไรเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาผลผลิตจะผันผวนอย่างไรก็อยู่ได้สบาย

