

"ปลูกข้าวขายเมล็ดพันธุ์ ต้นทุนไม่มาก มีตลาดแน่นอน"
คุณวาสนา อภัยโคตร
นายวาสนา อภัยโคตร อายุ 51 ปี เดิมเป็นคนอำเภอเลิงนกทา จังหวัดยโสธร ต่อมาปี พ.ศ. 2519 ได้ย้ายภูมิลำเนามาอยู่ที่อำเภอนาจะหลวย จังหวัดอุบลราชธานี จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ประกอบอาชีพเกษตรกร สมรสกับนางหนูกาณจน์ อภัยโคตร ที่อยู่ปัจจุบัน 139 หมู่3 ตำบลบัวงาม อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี ดำรงตำแหน่ง กรรมการและเลขานุการศูนย์ข้าวชุมชนจังหวัดอุบลราชธานี คณะกรรมการกลางศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวจังหวัดอุบลราชธานี คณะกรรมการวิสาหกิจจังหวัดอุบลราชธานี ประธานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานโรงเรียนบ้านบัวงาม และประธานวิสาหกิจชุมชนกลุ่มเกษตรสร้างสรรค์ กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มเลี้ยงไก่อินทรีย์ กลุ่มพ่อบ้านสายใยรัก ด้านการอนุรักษ์ธรรมชาติ ทำเกษตรผสมผสาน ปลูกไม้ป่าธรรมชาติสำหรับกินได้ ไม่เผาตอซังข้าว ส่งเสริมให้ชุมชนปลูกหญ้าแฝก ทำน้ำสกัดจากมูลสุกรใช้แทนปุ๋ยเคมี และการปลูกถั่วหลังนาเพื่อทำเป็นปุ๋ยพืชสด ด้านกิจกรรมที่ส่งเสริมในปัจจุบัน เป็นวิทยากรสอน แนะนำการทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายในครัวเรือนให้กับคนในชุมชน เป็นหมอดินอาสา ที่คอยให้คำแนะนำด้านการบำรุงดิน เพื่อให้เพาะปลูกพืชทางการเกษตรได้กับชาวบ้านในชุมชน
เมื่อปี พ.ศ.2536 นายวาสนา อภัยโคตร ได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบัวงาม และได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานการจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์ ที่อำเภอนาจะหลวย ทำให้ตนเองมีแรงบันดาลใจที่จะนำความรู้มาพัฒนาบ้านบัวงาม จึงได้ชักชวนชาวบ้าน รวมกลุ่มจัดตั้งสหกรณ์ออมทรัพย์ขึ้น โดยเริ่มแรกมีสมาชิก 30 คน เงินทุน 2,050 บาทจากนั้นได้รับการช่วยเหลือเงินทุนเพิ่มเติมรวมถึงการจัดทำบัญชีจากองค์พัฒนาท้องถิ่นจังหวัดอุบลราชธานี ในปัจจุบันกลุ่มสหกรณ์ออมทรัพย์บ้านบัวงามมีเงินทุนหมุนเวียนกว่าสองล้านบาท นอกจากรวมกลุ่มออมทรัพย์กันแล้ว ในปี พ.ศ.2539 ยังรวมกลุ่มทำเกษตรแบบผสมผสานตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยได้ตั้งชื่อกลุ่มว่า กลุ่มเกษตรสร้างสรรค์ ตำบลบัวงาม ในปี พ.ศ.2544 ได้รวมกลุ่มจัดตั้งศูนย์ข้าวชุมชน เพื่อรับซื้อข้าวจากสมาชิกในกลุ่มเพื่อใช้ในการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวหอมมะลิปลอดสารพิษจำหน่ายให้กับศูนย์เมล็ดพันธุ์จังหวัดอุบลราชธานีและในชุมชนบ้านบัวงาม ปี พ.ศ.2549 ตนได้เข้ารับการอบรมบัญชีรับจ่ายในครัวเรือนจากสำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์อุบลราชธานี จากนั้นได้นำความรู้เรื่องการทำบัญชีครัวเรือนมาเริ่มต้นในครอบครัว
พร้อมกันนี้ ได้ตั้งทีมวิทยากรครูผู้ช่วยซึ่งในปัจจุบันมี 5 คน ทำหน้าที่เป็นวิทยากรให้คำแนะนำการทำบัญชีรายรับ- รายจ่ายในครัวเรือน และบัญชีต้นทุนประกอบอาชีพให้กับเยาวชน ชุมชนบ้านบัวงามและชุมชนใกล้เคียง ตลอดจนสมาชิกสหกรณ์ของสำนักงานตรวจบัญชีสหกรณ์จังหวัดอุบล
เพื่อให้ชาวบ้านเห็นถึงประโยชน์ของการทำบัญชีรายรีบ - รายจ่ายให้ทราบถึงการลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นลง และยังให้คำแนะนำในการลดต้นทุนการทำนา ด้วยการทำน้ำสกัดจากมูลสุกรเพื่อลดการใช้ปุ๋ยเคมี เมื่อชาวบ้านที่เข้าร่วมโครงการจัดทำบัญชี ก็จะช่วยติดตามการทำบัญชีและให้คำแนะนำเพิ่มเติม

น้ำสกัดมูลสุกรที่ใช้บำรุงต้นข้าว
ฉีดพ่นระยะต้นกล้า
หลังจากหว่านเมล็ดพันธุ์เพาะกล้าแล้ว 10 วัน เริ่มฉีดครั้งแรก อัตราส่วน 1/20 ส่งทำให้ต้นกล้าเจริญเติบโตได้ดี และต้นกล้าถอนง่ายเพราะได้อาหารทางใบ
ฉีดพ่นหลังการปักดำถึงข้าวออกรวง
ระยะที่ 1 อายุข้าวไม่เกิน 1 เดือน ผสมน้ำสกัดกับน้ำเปล่า 1/20 สารจับใบ 5 ซีซี ฉีด 40 ลิตร/ไร่
ระยะที่ 2 อายุข้าวไม่เกิน 45 วัน อัตราส่วน 1/15
ระยะที่ 3 อายุข้าว60วันขึ้นไป อัตราส่วน 1/10 ฉีดทุกๆ 15 วันจนข้าวออกร่วง
ด้านต้นทุนในการทำนาของคุณวาสนาจะใช้วิธีการปักดำโดยพื้นที่ 1 ไร่จะใช้เมล็ดพันธุ์ประมาณ 1 กิโลกรัมต่อไร่ จึงทำให้ประหยัดเรื่องค่าเมล็ดพันธุ์ไปได้มาก โดยค่าเมล็ดพันธุ์ข้าวจะอยู่ที่กิโลกรัมละ 25 บาท เมื่อรวมค่าปุ๋ย ค่าแรงงาน ค่าเครื่องจักร และค่าวัสดุอื่นๆ ที่ต้องใช้ในจัดการแปลงนาด้วยแล้วจะตกอยู่ที่ ประมาณ 2,000 – 2,500 บาทต่อไร่ ด้านการลดต้นทุนอีกวิธีหนึ่งของคุณวาสนา จะใช้น้ำหมักมูลสุกรฉีดพ่นต้นข้าวในช่วงหลังจากการปักดำจนช่วงข้าวที่ออกรวงจึงลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงต้นข้าวได้ ทำให้ได้ผลผลิตเมล็ดข้าวประมาณ 600 กิโลกรัมต่อไร่ จำหน่ายเป็นเมล็ดพันธุ์ข้าวในราคาประมาณ 25 บาทต่อกิโลกรัม เมื่อหักต้นทุนค่าใช้จ่ายทั้งหมดจะได้กำไร่สุทธิอยู่ที่ 10,000 บาทต่อไร่
ด้านการตลาดของคุณวาสนา จะทำการตลาดเอง โดยการโปรโมทผลผลิตผ่านทางโซเซียลมิเดีย ทางศูนย์ข้าวชุมชนตำบลบัวงามจะมีผลิตภัณฑ์อยู่ 2 แบบ คือ การผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวและการแปรรูปข้าว ซึ่งการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าวจะผลิตพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105 และข้าวกข 15 ในการผลิตข้าวแต่ละพันธุ์จะผลิตตามความภาวะความต้องการของตลาด จำหน่ายกิโลกรัมละ 25 บาทให้กับศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวจังหวัดอุบลราชธานีและเกษตรกรที่ต้องการ ในส่วนการแปรรูปข้าวจะใช้ข้าวหอมมะลิ105ที่ปลูกในรูปแบบมาตรฐานการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว และมีการคัดเกรด แพ็คบรรจุจำหน่ายทางโซเซียลมิเดียและกลุ่มลูกค้าที่รักสุขภาพติดต่อสั่งซื้อโดยตรงในราคากิโลกรัมละ 90-100 บาท หากรวมรายได้ในการทำนาต่อฤดูการเพาะปลูก จะได้ไร่ละ 35,000-40,000 บาท
ข้าว เป็นพืชที่ต้องการน้ำในการเพาะปลูกค่อนข้างเยอะและสามารถปลูกได้ทุกภูมิภาคของประเทศได้ ซึ่งในการปลูกข้าวแต่ละฤดูกาล จะต้องมีการดูแลเป็นอย่างดี มีการป้องกันกำจัดโรค การกำจัดวัชพืช การใส่ปุ๋ยบำรุงข้าว การรักษาระดับน้ำในแปลงนา อีกหนึ่งปัจจัยที่ขาดไม่ได้คือสภาพอากาศ หากสภาพอากาศไม่แปรปรวน ร้อน สลับฝน ก็จะทำให้ต้นข้าวสามารถเจริญเติบโตได้ดี เพราะถ้าสภาพอากาศไม่เอื้อ เช่น สภาพอากาศแห้งแล้ง มีฝนตกสลับร้อนจัด จะทำให้ต้นข้าวไม่สามารถเจริญเติบโตได้ดี ไม่มีผลผลิตและจะมีปัญหาเรื่องโรค แมลงศัตรูพืชตามมาอีก ซึ่งในการทำนาแต่ละปีเกษตรกรมักจะประสบปัญหาด้านราคาขายข้าวที่ตกต่ำ และถูกพ่อค้าคนกลางกดราคาในการรับซื้อ แต่ทุกวันนี้ผลผลิตข้าวยังเป็นที่ต้องการของตลาด แต่ในการปลูกข้าวให้ได้ผลผลิตดีไม่ใช้เรื่องของความรู้หรือโชคช่วยเพียงอย่างเดียว เกษตรกรจะต้องมีความเข้าใจและความเอาใจใส่ จึงจะประสบผลสำเร็จ โดยคุณวาสนา กล่าวว่า สร้างคุณภาพให้น่าเชื่อถือและลูกจะมาหาเอง

