

"จุดเช็คอินความสำเร็จ ที่โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว"
คุณปกรณ์ เตชสิทธิ์วรโชติ
ทุกวันนี้ ใครก็ตามที่เดินทางไปเที่ยววังน้ำเขียวเป็นต้องได้ยินชื่อเสียงของ “โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว” ร้านกาแฟที่กลายมาเป็นจุดเช็คอินของวังน้ำเขียว ได้รับความนิยมชนิดที่ไม่ว่าฝนจะตกแดดจะออก ลานจอดรถของที่นี่ก็ยังเต็มแน่นทุกวัน และที่น่าทึ่งกว่านั้นคือ โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว ที่ว่านี้ เป็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นจากความมุ่งมั่นของ คุณปกรณ์ เกษตรกรผู้ปลูกกาแฟน้องใหม่ กับกลุ่มสมาชิกวิสาหกิจชุมชน “กลุ่มผู้ปลูกกาแฟวังน้ำเขียว” ทั้ง 40 ราย ความสำเร็จของพวกเขาได้กลายเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า เกษตรกรก็สามารถประสบความสำเร็จในธุรกิจต่อยอดได้ และได้ดีมากเสียด้วย
คุณปกรณ์คือตัวแทนของลูกหลานเกษตรกรที่มองเห็นว่า อาชีพเกษตรทำไปก็มีแต่หนี้สินพันตัว ไม่เคยมีพอกินหรือเหลือเก็บ จึงหันไปใช้ชีวิตเป็นหนุ่มเมืองกรุงอยู่ในกรุงเทพฯ เขาก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็วกับธุรกิจส่วนตัวของเขาด้วยวัยเพียง 20 ปีเศษ ในตอนนั้นไม่มีใครคาดคิดว่า เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 จะสามารถสร้างความเสียหายให้กับธุรกิจของเขาได้อย่างมหาศาล จนถึงขั้นธุรกิจล้มละลาย คุณปกรณ์กลายเป็นคนมีหนี้สินติดตัวกว่า 50 ล้านบาท ทั้งที่อายุยังไม่ทันเข้า 30 ด้วยซ้ำ แต่แทนที่จะท้อ คุณปกรณ์เชื่อว่า คนเราเมื่อล้มแล้วก็ต้องลุกให้ได้ เขาจึงหอบเสื้อผ้ามาตั้งต้นชีวิตใหม่ในฐานะเกษตรกร ที่อำเภอวังน้ำเขียว จังหวัดนครราชสีมา ด้วยการเช่าที่ดิน 5 ไร่ ริมอ่างเก็บน้ำ ลงมือปลูกข้าว ปลูกผักแบบไม่ใช้สารเคมี คุณปกรณ์บอกว่า แม้จะยังมีภาพของเกษตรกรรุ่นเก่าฝังอยู่ในความทรงจำ แต่ก็บอกตัวเองว่า เมื่อคิดจะทำแล้วก็ต้องทำให้ได้

ร้านกาแฟเป็นหนึ่งในธุรกิจเสริมของคุณปกรณ์ในช่วงที่ยังอยู่กรุงเทพฯ และกลายมาเป็นแรงบันดาลใจให้คุณปกรณ์ให้ความสนใจศึกษาเกี่ยวกับการทำไร่กาแฟมาก่อนหน้านี้ ดังนั้น หลังจากที่ทำเกษตรอินทรีย์มาได้สักพัก คุณปกรณ์จึงขยับขยายมาทำไร่กาแฟอาราบิก้า ซึ่งคุณปกรณ์บอกว่า แม้คนส่วนใหญ่จะคิดว่ากาแฟต้องปลูกในภาคเหนือ แต่จริงๆ แล้วกาแฟก็ปลูกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้เช่นกัน เพราะกาแฟเป็นพืชที่ชอบที่สูง และชอบดินภูเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งดินปนหิน ซึ่งในเขตพื้นที่อำเภอวังน้ำเขียวเองก็มีเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟอยู่แล้วกว่า 1,000 ไร่ และคุณปกรณ์ยอมรับว่า ความตั้งใจของเขาคือต้องการเป็นผู้ผลิตตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ดังนั้น แทนที่จะเดินหน้าทำไร่กาแฟไปตามลำพัง เขาจึงเดินหน้าเสาะหาความร่วมมือจากบรรดาผู้ปลูกกาแฟเดิมในวังน้ำเขียว จนสามารถรวบรวมได้มากถึง 40 ราย รวมพื้นที่เพาะปลูกกว่า 400 ไร่ ในปัจจุบัน

การปลูกกาแฟ :
กาแฟอาราบิก้าเป็นกาแฟสายพันธุ์ที่มีขนาดต้นไม่สูงใหญ่มากนัก แต่มีอายุยืนยาวได้ถึง 15 ปี และสายพันธุ์ที่ปลูกกันในไทยทุกวันนี้ ก็เป็นสายพันธุ์ที่ได้รับการปรับปรุงพันธุ์ให้ทนทานต่อสภาพอากาศและโรคในเมืองไทยแล้ว จึงสามารถปลูกและดูแลได้ไม่ยุ่งยากนัก คุณปกรณ์บอกว่า ข้อดีอย่างหนึ่งของต้นกาแฟคือ พวกมันชอบขึ้นใต้ร่มเงา ไม่ชอบแดดจัด ทำให้เป็นไม้ที่เหมาะสำหรับการปลูกแซมตามสวนผลไม้ สวนยาง หรือในกรณีของคุณปกรณ์คือปลูกแซมในไม้ป่าที่มีอยู่เดิมในพื้นที่ ไม่จำเป็นต้องแผ้วทางรบกวนธรรมชาติ โดยการปลูกต้นกาแฟอาราบิก้า ควรปลูกให้มีระยะห่างระหว่างต้นและห่างจากไม้ใหญ่ประมาณ 2 เมตร จะปลูกได้ประมาณ 400 ต้นต่อไร่ หากปลูกในช่วงต้นฝน ราวเดือนพฤษภาคม - กรกฎาคม ก็จะมีโอกาสรอดสูงขึ้น รอประมาณ 45 วัน ให้รากเดินดีแล้ว ค่อยใส่ปุ๋ยคอกบำรุงต้น

ต้นกาแฟอาราบิก้าต้องรอนานประมาณ 2 ปี จึงจะเริ่มให้ผลผลิต ต้นกาแฟจะออกผลในช่วงหน้าหนาวของปีแค่ปีละครั้ง ซึ่งคุณปกรณ์บอกว่า เมื่อเริ่มปลูกใหม่ๆ ต้นกาแฟของเขาให้ผลผลิตแค่ 20 กิโลกรัมต่อไร่ แต่เมื่อบำรุงดีๆ ต้นกาแฟก็จะสามารถให้ผลผลิตได้มากถึง 50 กิโลกรัมต่อไร่ ซึ่งการดูแลและเก็บเมล็ดกาแฟนี้ เป็นเรื่องหนึ่งที่เกษตรกรต้องวางแผนจัดการให้ดี อย่างไร่ของคุณปกรณ์เอง แต่ละปีก็จะมีเมล็ดกาแฟที่เก็บไม่ทัน หลงเหลือแห้งคาต้นไปอย่างน่าเสียดาย

เมล็ดกาแฟที่เก็บได้จากไร่ของคุณปกรณ์และเกษตรกรในกลุ่มทั้งหมด จะถูกนำมาคั่วที่โรงคั่วกาแฟของกลุ่ม ซึ่งอยู่ในร้านโรงคั่วกาแฟ ที่วังน้ำเขียวนั่นเอง ซึ่งคุณกาแฟบอกว่า นอกจากสมาชิกกลุ่มที่มีอยู่ในวังน้ำเขียวแล้ว ปัจจุบันยังมีเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟจากพื้นที่อื่นๆ ที่ส่งเมล็ดกาแฟดิบมาให้โรงคั่วกาแฟของเขาโดยตรง รวมถึงผู้ปลูกกาแฟจากเชียงใหม่และเชียงราย โดยคุณปกรณ์เอง ปกติจะใช้เฉพาะกาแฟของสมาชิกในกลุ่มเท่านั้น เพื่อให้แน่ใจว่าควบคุมได้ทั้งในเรื่องของคุณภาพการปลูก และรสชาติของกาแฟ อย่างไรก็ตาม ก็มีบ้างบางครั้งที่มียอดสั่งซื้อเมล็ดกาแฟคั่วสูงมากจนเกินกำลังการผลิตของกลุ่ม ในกรณีนั้น ก็จำเป็นต้องรับเอาเมล็ดกาแฟจากผู้ปลูกนอกกลุ่มมาคั่วจำหน่ายด้วย ซึ่งคุณปกรณ์ยืนยันว่า ถึงจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ยังคัดเลือกเอาจากผู้ปลูกที่เห็นว่ามีวิธีการปลูกตรงตามมาตรฐานของกลุ่มมากที่สุด เพราะเขาเชื่อว่า ที่สำคัญที่สุดคือคุณภาพในทุกขั้นตอนการผลิต

ช่องทางการตลาด :
กาแฟของคุณปกรณ์และกลุ่มโด่งดังเป็นที่รู้จักผ่านร้านโรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว ซึ่งคุณปกรณ์บอกว่า ร้านนี้เป็นเหมือนสถานที่สำหรับโชว์เคสให้ทุกคนเห็นว่ากาแฟของที่นี่มีที่มาที่ไปอย่างไร และสามารถนำไปต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์อะไรบ้าง จึงแน่นอนว่า เมื่อมาเยือนที่โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว ทุกคนจะได้ดื่มกาแฟหลากหลายรูปแบบทั้งร้อนและเย็นซึ่งชงมาจากเมล็ดกาแฟของที่ไร่เอง ควบคู่ไปกับเบเกอรี่ทานเล่น ซึ่งเมนูยอดนิยมของที่นี่คือขนมปังอบสังขยา พร้อมกับนั่งจิบบรรยากาศสบายๆ ที่สื่อถึงความหมายที่แท้จริงของการดื่มกาแฟ นั่นคือ “ความผ่อนคลาย” และยังจะได้ทำความรู้จักกับผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทั้งโฟมล้างหน้า สบู่ แชมพู ฯลฯ ซึ่งคุณปกรณ์บอกว่า จุดเด่นคือทำมาจากเมล็ดกาแฟเต็มๆ เมล็ด ไม่ใช่กากกาแฟ จึงมีคุณสมบัติดีๆ ของกาแฟอัดแน่นอยู่ในผลิตภัณฑ์ทุกชิ้น
คุณปกรณ์บอกว่า นอกจากเหนือชื่อเสียงที่ได้มาจากการตลาดแบบปากต่อปากแล้ว การตลาดบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโซเชียลเน็ตเวิร์ค นับเป็นช่องทางสำคัญที่ส่งผลให้ชื่อเสียงของโรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว กลายเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางภายในเวลาอันรวดเร็ว และมีคนจากต่างพื้นที่เข้ามาศึกษาดูงาน

แน่นอนว่าเมล็ดกาแฟส่วนใหญ่ที่ผลิตได้ราว 5,000 ตันต่อปี ยังคงมีช่องทางจำหน่ายหลักเป็นการจำหน่ายเมล็ดกาแฟคั่วบดให้กับร้านกาแฟต่างๆ ทั่วประเทศ ซึ่งคุณปกรณ์บอกว่า เพราะชื่อเสียงของโรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียวกลายมาเป็นที่ยอมรับ ก็ทำให้สามารถทำตลาดเมล็ดกาแฟคั่วบดได้ง่ายขึ้นด้วย ทุกวันนี้ เมล็ดกาแฟคั่วบดเกรดดีของที่นี่ จำหน่ายอยู่ที่ราวกิโลกรัมละ 400 บาท ก็มีออเดอร์จากลูกค้าทั่วประเทศ ไม่เว้นแม้แต่ลูกค้าจากเชียงรายและเชียงใหม่ จังหวัดซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งปลูกกาแฟใหญ่ที่สุดของประเทศ
ที่อยู่และช่องทางการติดต่อ :โรงคั่วกาแฟ วังน้ำเขียว 147 หมู่ 11 ต.ไทยสามัคคี อ.วังน้ำเขียว จ.นครราชสีมา 30370 โทร. 089 054 6619 Facebook: @CoffRoaster

