เรื่องเด็ดเกร็ดเกษตร


หากพูดถึงเบาหวาน โรคยอดฮิตของคนไทย หลายคนตอนนี้ต้องเผชิญกับโรคนี้อยู่แบบไม่ทันตั้งตัว ซึ่งเกิดขึ้นจากอาหารการกินที่เรากินกันอยู่ทุกวัน รวมไปถึงการส่งต่อทางพันธุกรรม ดังนั้นเพื่อเป็นการป้องกัน และสำหรับใครที่เป็นอยู่แล้ว ที่ต้องการหาตัวช่วย เรามีผักสมุนไพรพื้นบ้านเพื่อใช้เป็นทางเลือกเสริมในการดูแลสุขภาพ กับ 4 ผักชนิด ที่ผ่านการวิจัยแล้วว่ามีผลในการช่วยลดและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ไม่ว่าจะเป็น ตำลึง สมุนไพรที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือดของทีมนักวิชาการจาก Harvard Medical School พบว่า ตำลึงและโสมมีหลักฐานสนับสนุนประสิทธิผลที่ดีที่สุดจากการที่มีการออกแบบการทดลองได้อย่างเหมาะสม ตำลึงแสดงผลการลดน้ำตาลทั้งในสัตว์ทดลองและในคน ตำลึงให้ผลลดน้ำตาลทั้งส่วนที่เป็นใบ ราก ผล โดยใช้เถาแก่ๆ ประมาณ 1 กำมือ ต้มกับน้ำ หรือน้ำคั้นจากผลดิบ ดื่มวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น ผักเชียงดา มีผลช่วยป้องกันการดูดซึมของน้ำตาล ฟื้นฟูเซลล์ตับอ่อนที่สร้างอินซูลิน และลดน้ำตาลในเลือดได้ วิธีใช้ให้ใช้ใบแห้งชงดื่มเป็นน้ำชา ครั้งละ 4 กรัม วันละ 2-3 ครั้ง หรือรับประทานเป็นผักในมื้ออาหาร ชะพลู มีงานวิจัยพบว่าน้ำชะพลูลดน้ำตาลในเลือดของกระต่ายที่เป็นเบาหวานได้ แต่ไม่สามารถลดน้ำตาลในเลือดของกระต่ายปกติได้ วิธีใช้ นำชะพลูทั้งต้นตลอดถึงราก 1 กำมือ พับเถาเป็น 3 ทบ ใช้ตอกไม้ไผ่มัดเป็น 3 เปลาะ ใส่หม้อต้มกับน้ำพอท่วม ต้มจากน้ำ 3 ส่วน เหลือ 1 ส่วน ดื่มครั้งละครึ่งแก้ว วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร มะระขี้นก มีผลกระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ยับยั้งการสร้างกลูโคส ทำให้มีผลลดน้ำตาลในเลือดได้ วิธีใช้คือ คั้นน้ำจากผลสดมื้อละ 2-3 ผล โดยเอาเมล็ดในออก ใส่น้ำลงไปเล็กน้อย ปั่นคั้นเอาแต่น้ำดื่ม 3 เวลา ก่อนอาหาร
18 มิถุนายน 2562
8,447
เรามาช่วยโลก ด้วยการ "ประหยัดน้ำ" กันเถอะค่ะ ที่สำคัญยังช่วยลดแรงงาน ลดค่าใช้จ่ายได้อีกด้วยนะคะ กับการทำระบบน้ำหยดแบบง่าย ใคร ๆ ก็ทำได้ อยู่ที่ต้องลงมือทำเท่านั้น เพียงใช้วัสดุเหลือใช้ที่เรามีอยู่แล้วมาประยุกต์ วันนี้รักบ้านเกิดมีมาฝาก 6 แบบมีอะไรบ้างไปดูกันเลย 1. ระบบน้ำหยดแบบครัวเรือน ใช้ถังเป็นแหล่งจ่ายน้ำส่งผ่านท่อหลัก ส่งไปตามท่อย่อยที่เจาะรูไว้ เป็นวิธีการให้น้ำสำหรับแปลงผัก มีประสิทธิภาพการให้น้ำสูง แต่ใช้แรงดันต่ำ ต้นทุนในการทำไม่สูงมาก 2. ขวดเจาะรูฝังดิน นำขวดน้ำเจาะรูพรุน จากนั้นให้นำมาฝังดินใกล้โคนต้นไม้ โดยให้ฝาโผล่ในระดับผิวดิน ใส่น้ำให้เต็มแล้วปิดฝา น้ำจากขวดจะค่อยๆซึมออกมาทางรูพรุนรอบๆขวด 3. กรวยหยดน้ำ นำกรวยรดน้ำต้นไม้ติดเข้ากับขวดน้ำพลาสติกที่ใส่น้ำ จากนั้นปักลงดิน น้ำจะหยดไหลผ่านกรวยในปริมาณเท่าๆกันสร้างความชุ่มชื้นให้กับดินและต้นไม้ 4. โรงเรือนจิ๋วลดการละเหยน้ำ ตัดก้นขวดพลาสติกแล้วครอบลงในต้นไม้ ช่วยรักษาความชื้นหน้าดิน ช่วยลดปริมาณของน้ำที่ระเหยจากดินได้ 5. การให้น้ำแบบไส้เทียน ให้ท่านนำเชือก ไหมพรม หรือผ้าฝ้าย ใส่ไว้บริเวณใต้กระถาง วางซ้อนบนภาชนะที่ใส่น้ำไว้ดังรูปด้านล่าง เป็นระบบการให้น้ำในตัวเองจากน้ำด้านล่างผ่านเชือกไปยังกระถางต้นไม้ เป็นวิธีที่เหมาะกับไม้กระถางขนาดเล็ก 6. ระบบไอน้ำหมุนเวียน ใช้ความร้อนจากแสงแดด ทำให้น้ำในขวดเล็กกลายเป็นไอระเหยอยู่ภายใน ช่วยรักษาความชุ่มชื้นให้กับดิน
14 พฤษภาคม 2562
8,944
"ตะขบ" ถือเป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง ที่มักจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ น้อยคนนักที่จะตั้งใจปลูกไว้เพื่อกินผล หลายคนอาจจะเคยลิ้มลองรสชาติของผลไม้ลูกกลม ๆ เล็ก ๆ ที่ออกจะหวานปะแล่มปะแล่ม มักจะหล่นทิ้งเต็มพื้น และเป็นอาหารชั้นดีของนกและกระรอก แต่หารู้ไม่ว่า เจ้าตะขบ ผลไม้แจกฟรีนี้กลับมีสรรพคุณทางยาหลบซ่อนอยู่มากมาย "ตะขบ" คือสุดยอดผลไม้ไทย ที่มีประโยชน์ทั้งใยอาหาร แคลเซียม โพแทสเซียม ช่วยดูดซับคอเลสเตอรอลอย่างดี ลดความเสี่ยงของมะเร็งลำไส้ เส้นเลือดสมองแตก และมีส่วนช่วยบำรุงหัวใจได้อย่างดี ผลสุกของตะขบ หากรับประทานสดจะช่วยบำรุงร่างกาย ช่วยให้เจริญอาหาร ป้องกันโรคกระดูกพรุน ต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง และยังช่วยในการขับถ่ายได้อย่างดีอีกด้วย และหากนำดอกตะขบมาแปรรูปเป็นชา จะสามารถแก้อาการปวดศรีษะได้เป็นอย่างดี ไม่น่าเชื่อใช่ไหมหละคะ ว่าผลไม้ลูกเล็ก ๆ อย่างตะขบ จะมีสรรพคุณทางยามากมายขนาดนี้ รู้แบบนี้แล้ว อย่าพึ่งตัดทิ้งกันนะคะ อาจจะดูเป็นของทานเล่น แต่ประโยชน์ไม่ใช่เล่นเล่นนะจ๊ะ
7 พฤษภาคม 2562
20,606
หากพูดถึง ผักพื้นบ้านรสขม อย่าง "สะเดา" หลายคนต้องนึกถึงน้ำปลาหวานกับข้าวสวยร้อน ๆ ? ถือเป็นโชคดีของคนที่สามารถรับประทานสะเดาได้โดยไม่รู้สึกว่ามันขมแต่อย่างใด เนื่องจากสะเดานั้นมีประโยชน์มากมายทั้งเป็นอาหาร ยารักษาโรค ยาฆ่าแมลง และลำต้นยังสามารถที่จะนำมาสร้างเป็นที่อยู่อาศัยได้อีกด้วย พืชอย่างสะเดามีสารอาหารครบถ้วนไม่ว่าจะเป็น คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน เส้นใยอาหาร เบต้าแคโรทีน วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินซี แคลเซียม เหล็ก และฟอสฟอรัส ถือเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น และที่มากไปกว่านั้นสะเดามีสารบางชนิดที่มาฤทธิ์บรรเทาอาการของโรคอีสุกอีใส ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส ชื่อว่า Varicella Zoster ซึ่งสามารถติดต่อได้ง่าย ถือเป็นโรคหนึ่งที่เราแทบจะหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งในสะเดานั้นจะมีสารที่ชื่อ เกดูนิน (Gedunin) และ นิมโบลิดี (Nimbolide) อยู่ในใบและเมล็ด มีประสิทธิภาพออกฤทธิ์ยับยั้งเชื้อรา แบคทีเรียและเชื้อไวรัสสูง จึงสามารถบรรเทาอาการของโรคที่เกิดจากเชื้อรา ไวรัส และแบคทีเรีย อย่างอีสุกอีใสได้อย่างดี
30 เมษายน 2562
4,545
"มะระ" ผักพื้นบ้านรสขม ที่มีสรรพคุณทางยาที่โดดเด่น ทั้งเรื่องของป้องกันมะเร็ง บำรุงดวงตา บำรุงกระดูก แก้อาการกระหายน้ำ เหมาะกับผู้ป่วยเบาหวาน ช่วยบำรุงเลือด ขับสารพิษออกจากร่างกาย แก้หวด ลดไข้ ขับเสมหะ อีกทั้งยังเป็นยาระบายอ่อน ๆ มะระ ยังมีสรรพคุณอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นยารักษาโรคผิวหนัง รักษาสิว ช่วยสมานแผล และยังแก้อาการฟกช้ำได้อีกด้วย "มะระสด" แก้ฟกช้ำ ใบมะระสดสามารถนำมาใช้ดื่มเพื่อช่วยลดอาการฟกช้ำ แก้ผดผื่นคันได้ดี อีกทั้งยังช่วยเป็นยาฟอกเลือด ช่วยรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย วิธีการใช้ >>> นำใบสดของมะระ ส่วนที่ขมที่สุด มาต้ม โดยใช้ใบมะระ 4-5 ใบ ต่อน้ำสะอาด 1.25 ลิตร ต้มจนเดือด กรองเอาแต่น้ำ ดื่มบรรเทาอาการฟกช้ำ (ไม่เกินวันละ 2 แก้ว) ดื่มไม่เกิน 2 วันอาการจะดีขึ้น "มะระแห้ง" แก้ผื่นคัน ผลมะระสดเมื่อนำไปตากแห้ง สามารถนำมาทำเป็นยาแก้คัน รักษาแผล และโรคผิวหนังอื่น ๆ ได้ดี วิธีการใช้ >>> นำมะระที่เก็บมาใหม่ ๆ จากต้น ล้างทำความสะอาดฝานเอาเมล็ดออก นำไปตากแดดให้แห้งสนิท จากนั้นนำมะระที่แห้งสนิทแล้วมาบดให้ละเอียด ให้ได้เนื้อเป็นผง นำเก็บใส่กระปุกไว้ใช้ ทาเมื่อมีอาการผื่นคัน หรือใช้โรยใส่แผลสด เพื่อให้แผลแห้งเร็วขึ้น
16 เมษายน 2562
5,121
ใคร ๆ ก็อยากจะมีบ้านที่ร่มรื่น ร่มเย็นอยู่แล้วสบายทั้งกาย สบายทั้งใจ หลายคนชอบที่จะมีต้นไม้รอบ ๆ บ้าน แต่ถ้าจะให้ดี ปลูกไม้มงคลร่วมด้วย เพื่อเสริมสิริมงคลให้กับบ้าน ก็จะดียิ่งขึ้นไปอีกนะคะ วันนี้รักบ้านเกิดมีไม้มงคล 5 ชนิด ที่ปลูกไว้ในบ้านแล้ว ดีแน่นอน... 1. ต้นธรรมรักษา หรือ เฮลิโคเนีย Heliconia ดอกไม้ประจำจังหวัดลำปาง มีหลายสายพันธุ์มีชื่อภาษาไทยต่าง ๆ กัน เช่น ธรรมรักษา ก้ามกุ้ง ก้ามกั้ง สร้อยกัทลี เฮลิโคเนียนำมาจากชื่อ เฮลิคอน ที่เป็นภูเขาสถิตของเทพธิดา 9 พระองค์ที่เรียกว่า มิวส์ (Muses) ซึ่งมีความงามเป็นอมตะเช่นเดียวกับ เฮลิโคเนียที่มีอายุยืนยาว นิยมใช้เป็นไม้ตัดดอก ไม้กระถาง และตกแต่งสถานที่ทั้งในและต่างประเทศมีมากมายหลายพันธุ์ เป็นไม้อวบน้ำยืนต้น มีลำต้นใต้ดิน เรียกว่าเหง้า ส่วนของลำต้นเหนือดินเรียกว่า "ต้นเทียม" (pseudostem) ประกอบด้วยส่วนของลำต้น (stem) และใบเมื่อเจริญเต็มที่ มักมีช่อดอก (infloescemce) แทงออกที่ส่วนกลางของต้นเทียม ลำต้นประกอบด้วยกาบใบ (leaf sheath) วางซ้อนสลับไปมา 2. ไผ่กวนอิม Lucky bambooไม้มงคลโบราณประจำบ้าน "ไผ่กวนอิม" ในต่างประเทศในภาษาอังกฤษก็เรียกกันไปหลากหลาย Ribbon dracaena, Lucky bamboo, Belgian evergreen, Ribbon plant ได้รับความนิยมไปทั่วโลก รวมทั้งเมืองไทยเอง "ไผ่กวนอิม" มีความเชื่อในเรื่องโชคลาภว่าจะนำพาในเรื่องความมั่งคั่ง ไม้มงคลโบราณปลูกแล้วร่ำรวย นำพาความร่ำรวย บังเกิดโชคลาภ 3. โป๊ยเซียน ต้นไม้แห่งโชคลาภ ของเทพยดาทั้ง 8 องค์ โป๊ยเซียน ต้นไม้แห่งโชคลาภตามความเชื่อที่มีมาอย่างยาวนาน ต้นไม้แห่งโชคลาภตามความเชื่อถือแต่โบราณ ทั้งคนไทยและที่แน่นอนได้รับอิทธิพลจากความเชื่อแบบคนจีน โป๊ยเซียนมาจากภาษาจีน แปลว่าเทพยดาทั้ง 8 องค์ ได้แก่ เซียนทิก๋วยลี้ เซียนฮั่นจงหลี เซียนลือท่งปิน เซียนเจียงกั๋วเล้า เซียนหลันไฉ่เหอ เซียนฮ่อเซียนโกว เซียนหันเซียงจือ เซียนเชาก๊กกู๋ เชื่อกันว่า ถ้าบ้านใดมีดอกโป๊ยเซียนครบ 8 ดอก จะนำความโชคดีมาให้แก่ผู้ปลูก 4. ต้นบอนสี เป็นสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย บอนสี เป็นไม้ประดับที่มีใบสวยงามและเป็นไม้มงคล มีสีสันที่หลากหลายแปลกตาและเป็นเอกลักษณ์ จนได้รับการยกย่องว่าเป็น "ราชินีแห่งไม้ใบ" Queen of the Leafy Plants ลักษณะใบ สีสันสวยงาม และดอกมีเกสรเป็นแท่งยาวโผล่ออกมา ดอกมีสีขาวหรือสีชมพู รังไข่ใต้วงกลีบ มีกลิ่นฉุน เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ทรงเสด็จนิวัตพระนครหลังเสด็จประภาสยุโรป ราวปี พ.ศ. 2444 ทรงนำพันธุ์ไม้หลายชนิดจากยุโรปเข้ามาปลูกในประเทศไทย ในจำนวนพันธุ์ไม้เหล่านี้มีบอนฝรั่งหรือบอนสีรวมอยู่ด้วย ในช่วงแรกปลูกเลี้ยงกันเฉพาะในกลุ่มของเจ้านายและข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ต้นบอนสี สวยงามและเป็นไม้มงคล พรรณไม้เก่าแก่ ที่ปลูกไว้คู่บ้านคู่เมืองของคนไทยมายาวนาน คนไทยโบราณเชื่อว่า บ้านใดปลูกต้นบอนสีไว้ประจำบ้านช่วยคุ้มครองให้เกิดความสงบสุข เพื่อเป็นมิ่งขวัญและสิริมงคลแก่บ้านและผู้อาศัย 5. ต้นเล็บครุฑ จะช่วยให้รอดพ้นจากภยันตราย ต้นเล็บครุฑมีกว่า 100 ชนิด ที่เรียกเป็นภาษาไทยว่าเล็บครุฑนั้นเพราะ ปลายใบมีลักษณะหงิกงอคล้ายเล็บของครุฑ เล็บครุฑที่นิยมปลูกเป็นไม้มงคล จะมีเล็บครุฑฝอย ,เล็บครุฑทอง, เล็บครุฑใบเฟิร์น, เล็บครุฑบริพัตร และเล็บครุฑใบกุหลาบ เป็นไม้มงคลที่ถือตามความเชื่อว่าเป็นไม้มงคล ปลูกไว้แล้วจะช่วยให้รอดพ้นจากภยันตราย ผู้ปลูกควรปลูกในวันอังคาร เพราะโบราณเชื่อว่าการปลูกไม้เพื่อเอาประโยชน์ทั่วไปทางใบ ให้ปลูกในวันอังคาร
2 เมษายน 2562
18,585
การทำเกษตรอินทรีย์ แน่นอนอยู่แล้วว่าสิ่งที่จะนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการเพาะปลูกทั้งหมดจะต้องมาจากธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยน้ำ ปุ๋ยคอกที่จะนำมาใช้ในการเร่งการเจริญเติบโต แม้กระทั้งสิ่งที่จะนำมาย่อยสลายวัตถุอินทรีย์ในดินก็มีส่วนสำคัญไม้แพ้กัน เรียกได้ว่าเป็นหัวใจหลักของการย่อยวัตถุอินทรีย์กันเลยทีเดียว นั่นก็คือ จุลินทรีย์ จุลินทรีย์ที่มีบทบาท ต่อการทำเกษตรกรรม มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน ได้แก่ แบคทีเรีย เชื้อรา แอคโนมัยซิท สาหร่าย โปรโตซัว และไวรัส จุลินทรีย์บางชนิดเป็นจุลินทรีย์ที่ดีมีประโยชน์ต่อการทำการเกษตร แต่บางชนิดก็เป็นจุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดโรคต่อพืช แต่หากทุกอย่างเป็นไปอย่างสมดุล หรือส่งเสริมให้มีจำนวนจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์เป็นจำนวนมากกว่าจุลินทรีย์ก่อโรค พืชพันธุ์ต่างๆ ก็จะแข็งแรงเจริญเติบโตได้ดี เราไปทำความรู้จักกับจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ต่อระบบเกษตรอินทรีย์ทั้ง 7 ชนิดกันเถอะ จุลินทรีย์แบคทีเรีย (Bacteria) จุลินทรีย์กลุ่มนี้มีหลากหลายสายพันธุ์ ที่รวมตัวกันอยู่ในกองปุ๋ยหมัก และในหัวเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำขายเป็นการค้า มักมีลักษณะรูปร่างของจุลินทรีย์เป็นแบบง่ายๆ 3 รูปร่าง คือ กลม เป็นท่อน และเป็นเกลียว ไม่มีรงควัตถุภายในเซลล์ คือ เซลล์มักจะเป็นลักษณะใสๆ มีทั้งเคลื่อนที่ได้และไม่ได้ เติบโตได้ในอุณหภูมิหลายระดับ โดยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ มีทั้งแบบที่ต้องการออกซิเจน และไม่ต้องการออกซิเจน อาศัยอยู่ทั่วไปในธรรมชาติ โดยเฉพาะในดินป่าที่ชื่น มีบทบาทอย่างมากในการย่อยสลายอินทรีย์วัตถุและปลดปล่อยธาตุอาหารที่สำคัญให้กับพืช ตัวอย่างของแบคทีเรียที่เรารู้จักคุ้นหูกันดี เช่น บาซิลลัสทูริงจิเอนซิส หรือเรียกสั้นๆ ว่าเชื่อบีที เชื้อแลคโตบาซิลลัส จุลินทรีย์สังเคราะห์แสง (โฟโต้ทรอปฟิคแบคทีเรีย) จุลินทรีย์ผลิตกรดแลคติกและกรดอะซิติก เชื้อไรโซเบียม ฯลฯ จุลินทรีย์ กลุ่มที่เป็นเชื้อรา (Funji) จุลินทรีย์กลุ่มเชื้อรามักจะพบในกองปุ๋ยหมักเสมอ มักจะพบเติบโตในช่วงแรกๆ ของการหมักกองปุ๋ย และจะพบบริเวณด้านนอกผิวของกองปุ๋ยหมักเป็นจำนวนมาก เมื่อกองปุ๋ยหมักมีอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 65 องศาเซลเซียส จะไม่พบเชื้อรา แต่จะพบเชื้อแบคทีเรียแทน เชื่อราจะมีประโยชน์ในการย่อยสลายเศษวัสดุอินทรีย์ในกองปุ๋ยหมักให้มีขนาดเล็กลงในระยะแรกๆ ของการหมักปุ๋ย จุลินทรีย์ที่เป็นเชื้อราแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือยีสต์ (Yeasts) และราเส้นใย จุลินทรีย์เชื้อรา กลุ่มยีสต์ (Yeasts) ยีสต์ เป็นเชื้อราซึ่งมีลักษณะการดำรงชีวิตอยู่ในสภาพเซลล์เดียว แทนที่จะเจริญเติบโตเป็นเส้นใยเหมือนเชื้อราอื่นๆ ทั่วไป ถึงแม้ยีสต์บางชนิดจะสร้างเส้นใยบ้างแต่ก็ไม่เด่นชัด การเพิ่มจำนวนจะอาศัยการแบ่งตัวหรือแตกหน่อไม่อาศัยเพศ มีรูปร่างกลมเมื่ออายุน้อย และรูปร่างรีเมื่ออายุมาก มีขนาดที่ใหญ่กว่าเชื้อแบคทีเรีย ยีสต์ทำให้เกิดกระบวนการหมักโดยจะเปลี่ยนน้ำตาลให้เป็นเอทิลแอลกอฮอล์ และคาร์บอนไดออกไซด์ ปกติยีสต์จะอยู่ที่ผิวหน้าของวัสดุที่หมัก โดยจะเป็นฟองที่ลอยเป็นฝ้าอยู่ที่ผิวของน้ำหมัก นอกจากนี้ยีสต์ยังผลิตวิตามิน และฮอร์โมนในระหว่างกระบวนการหมักด้วย และยีสต์จะสามารถเจริญเติบโตได้ดีในค่าความเป็นกรดสูงระหว่าง 4.0 - 6.5 ซึ่งที่ค่าความเป็นกรด-ด่างขนาดนี้นั้น จุลินทรีย์ที่ก่อให้เกิดการเน่าเสีย จะเจริญเติบโตไม่ได้ ดังนั้นในการหมักเมื่อเกิดกลิ่นแอลกฮอล์ขึ้น จึงแสดงให้เห็นว่าขบวนการหมักมีคุณภาพและเป็นการหมักที่สมบูรณ์ จุลินทรียเชื้อรา กลุ่มที่เป็นราเส้นใย จะมีการดำรงชีวิตแบบหลายเซลล์ โดยส่วนใหญ่มีลักษณะการเจิญเติบโตเป็นเส้นใย ซึ่งอาจจะมีผนังกั้น หรือไม่มีก็ได้ เชื้อรากลุ่มนี้เป็นจุลินทรีย์ที่มีความหลากหลาย มีความแตกต่างกันมากในด้านขนาดและรูปร่าง อาศัยการสืบพันธุ์ด้วยการสร้างสปอร์ ซึ่งมีทั้งสปอร์ที่อาศัยเพศและไม่อาศัยเพศ เป็นจุลินทรีย์ที่ต้องการอากาศ พบเห็นอยู่ที่ริมผิวหน้าของน้ำหมักหรือปุ๋ยหมัก จุลินทรีย์แอคติโนมัยชิท เป็นจุลินทรีย์จำพวกเซลล์เดียว ที่มีลักษณะคล้ายคลึงทั้งแบคที่เรียและเชื้อรา โดยมีขนาดเล็กคล้ายแบคทีเรีย แต่มีการเจริญเติบโตเป็นเส้ยใย และสร้างสปอร์คล้ายเชื้อรา มีเส้นใยที่ยาวเรียวและอาจจะแตกสาขาออกไป ส่วนของเส้นใยที่สัมผัสกับอากาศแห้งจะมีการเปลี่ยนรูปไปเป็นสปอร์ ซึ่งใช้ในการแพร่พันธุ์เช่นเดียวกันกับเชื้อรา มีการเจริญเติบโตที่ช้ากว่าแบคทีเรียและเชื้อรา การเจริญเติบโตจะต้องอาศัยอากาศและออกซิเจนในอุณหภูมิ 65-75 องศาเซสเซียส ลักษณะของเชื้อแอคโนมัยชิที่พบบนกองปุ๋ยหมักจะเจริญเติบโตเป็นกลุ่ม เห็นเป็นจุดสีขาวคล้ายๆ ผงปูนหลังจากที่อุณหภูมิของกองปุ๋ยสูงขึ้นมาก เชื้อแอคโนมัยชิทนี้มีบทบาทที่สำคัญในการย่อยอินทรีย์สาร เช่น เซลลูโลส ลิกนิน ไคติน และโปรตีน ที่อยู่ในกองปุ๋ยหมักขณะที่อุณหภูมิสูง จุลินทรีย์ที่เป็น สาหร่ายสีเขียวแกมน้ำเงิน แตกต่างจากจุลินทรีย์ชนิดอื่น ตรงที่มีคลอโรฟิลล์ มักเห็นเซลล์เป็นสีเขียว มีลักษณะเซลล์เหมือนแบคทีเรีย สาหร่ายพวกนี้ไม่มีคลอโรพลาสต์ ดังนั้นคลอโรฟิลล์จึงกระจายอยู่ทั่วไปในเซลล์ เจริญเติบโตได้ดีในนาข้าว สามารถตรึงไนโตเจนจากอากาศได้ถึงประมาณ 10-20 กิโลกรัมต่อไร่ มักอาศัยพึ่งพาอยู่กับแหนแดง ซึ่งเป็นเฟิร์นน้ำขนาดเล็กๆ ทำให้แหนแดงเป็ยปุ๋ยพืชสดอย่างดีในนาข้าว จุลินทรีย์ โปรโตซัว (Protozoa) โปรโตซัว เป็นสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวขนาดเล็กที่จัดได้ว่ามีความสำคัญมากในระบบนิเวศ อาศัยอยู่ในน้ำ ในดิน หรือเป็นปรสิต ชนิดที่เป็นปรสิตบางชนิดอาศัยอยู่ในทางเดินอาหารของปลวก เพื่อช่วยย่อยเนื้อไม้ จุลินทรีย์โปรโตซัวมีความสำคัญมากเพราะสามารถย่อยสลายอินทรีย์วัตถุได้อย่างรวดเร็ว ปัจจุบันจึงมีเกษตรกรนำเอาจาวปลวก มาหมักหัวเชื้อจุลินทรีย์เพื่อนำไปย่อยสลายฟางข้าวในนาและทำปุ๋ยหมัก
26 มีนาคม 2562
52,655
จะเห็นได้ว่าการทำเกษตรแบบอินทรีย์นั้นไม่ใช้เรื่องเกินความสามารถของเกษตรกรไทย และการทำเกษตรอินทรีย์ นั้นจะได้ผลผลิตน้อยในระยะแรกเท่านั้น เมื่อดินเริ่มฟื้นมีความอุดมสมบูรณ์ตามธรรมชาติแล้ว ผลผลิตจะสูงขึ้น แถมยังช่วยรักษาสภาพแวดล้อมได้ดีอีกด้วย ดังนั้นเพื่อให้บรรลุผลตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ลองปฏิบัติตาม 8 ขั้นตอนนี้ดูนะคะ 1. ลดมลพิษด้วยการเลิกใช้สารเคมี ทั้ง ยาฆ่าแมลง 2. รักษาสภาพโครงสร้างของดินด้วยการไถพรวนระยะเริ่มแรก และลดการไถพรวนเมื่อปลูกไปนาน ๆ 3. คลุมดินด้วยใบไม้แห้ง หญ้าแห้ง ฟางแห้ง วัสดุอื่น ๆ ที่หาได้ในท้องถิ่นเพื่อรักษาความชื้นของดิน 4. ใช้ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก และปุ๋ยพืชสด เพื่อบำรุงรักษาแร่ธาตุที่จำเป็นแก่พืชในดิน 5. เติมจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ให้แก่พืชผักและหน้าดิน 6. มีการเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาช่วย เช่น เทคนิคการปลูก การดูแลเอาใจใส่ การขยาย พันธุ์ การเก็บรักษาเมล็ดพันธุ์ การให้น้ำตลอดจนการเก็บเกี่ยว 7. มีการปลูกอย่างต่อเนื่อง ไม่ปล่อยที่ดินให้ว่างเปล่าแห้งแล้งทำให้โครงสร้างของดิน 8. มีการป้องกันศัตรูพืช โดยใช้สารสกัดธรรมชาติ เช่น สะเดา ข่า ตะไคร้ ยาสูบ โล่ติ๊น และ พืชสมุนไพรอื่น ๆ ที่มีอยู่ในท้องถิ่น
20 มีนาคม 2562
4,856
มะเขือพวงอยู่คู่กับคนไทยเรามานาน ใช้เป็นส่วนประกอบของอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น แกงเนื้อ แกงเขียวหวาน แกงป่า และน้ำพริกหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น น้ำพริกกะปิ น้ำพริกแมงดา น้ำพริกกุ้งสด และหลายคนก็สามารถที่จะทานสด ๆ เป็นผักเคียงได้อย่างสบายเลยซึ่งถือว่าดีมาก ๆ ถ้ากินได้ เพราะนอกจากความอร่อยแล้ว ยังมีสรรพคุณสามารถต้านโรคต่างๆ ได้ด้วย ของดีคู่บ้านเรา หาทานง่าย สรรพคุณล้นเหลือ น่าเสียดายแย่ ถ้าจะเขี่ยเจ้ามะเขือพวงอันจิ๋วนี้ออกจากอาหารถ้วยโปรด ใครที่ไม่เคยกินหรือไม่ชอบ ลองหันมาทานดูนะคะ จิ๋วแต่แจ๋ว ประโยชน์เยอะจริง ๆ เลยหละค่ะ
12 มีนาคม 2562
5,191