

"ปรมินทร์ ประทุมมา : เริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วย ดอกขจร"

กับการมาเป็นเกษตรกรเต็มตัว
ไม่ต้องเข้างานตรงเวลา ไม่ต้องตอกบัตร
มีคนสบประมาทมากตอนออกจากโรงงาน
ตอนนี้ผมก็พิสูจน์ให้เห็นแล้ว
ว่าเราทำได้

คุณปรมินทร์ ประทุมมา เกษตรกรหนุ่มที่หันหลังให้โรงงาน มาเป็นเกษตรกร
สิ่งที่คุณปรมินทร์ได้รับจากการมาเป็นเกษตรกร คือ ความสุข ความสบายใจ มีเวลาเป็นของตัวเอง ความแตกต่างเลยหนึ่งเรื่องระหว่างการทำโรงงาน กับการมาเป็นเกษตรกร คือ เวลา จากที่เขาเคยทำงานประจำเข้างาน 8 โมงเลิกงาน 5 โมง พอมาอยู่บ้านก็สามารถตื่นเช้ามาเก็บผัก ใช้เวลาสัก 2 - 3 ชั่วโมงหลังจากนั้นก็ว่างประมาณสี่ถึง 5 โมงเย็น ก็ค่อยมาเดินดูพืช รดน้ำ ซึ่งทำให้เขารู้สึกว่าชีวิตมันดีกว่าเดิมเยอะมาก จะไปไหนมาไหนก็ได้ และหากถามคุณปรมินทร์ว่า ความสุขของเขาอยู่ตรงไหน เขาจะตอบทันทีเลยว่า อยู่ตรงนี้ เขาสบายใจ และที่สำคัญไม่มีใครมาสั่งงานเขาด้วย
ส่วนใครที่อยากจะสัมผัสความสุขแบบที่คุณปรมินทร์สัมผัสอยู่ ขอให้ลองเริ่มต้นจากพื้นที่ที่เรามีก่อน ว่าเรามีเนื้อที่เท่าไหร่ เริ่มจากเล็กๆ น้อยๆ ก่อน และหาประสบการณ์กับพืชตัวนั้น ไปถามคนที่เคยทำดูว่าตอนนี้เป็นอย่างไร เมื่อเราได้ข้อมูลมาแล้ว เราจะได้ไม่มีปัญหาในการปลูก แต่ถ้าทำแล้วล้มเหลวก็อย่าหยุด ต้องเดินต่อไปเรื่อย ๆ
หลักคิดและการใช้ชีวิต
ความอิสระ เสรี ไม่อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ของผู้อื่น คือ สิ่งที่คุณปรมินทร์แสวงหา ด้วยพื้นฐานไม่ชอบอยู่ในกฎเกณฑ์ของใคร อยากมีเวลาเป็นของตัวเอง ด้วยความคิดแบบนี้ จึงทำให้เขาออกจากงานประจำในที่สุด และเลือกมาทำการเกษตรที่บ้าน เพราะอย่างน้อย ที่บ้านเขามีที่ดิน และมีแม่ที่ให้คำปรึกษาได้
เมื่อเริ่มต้นทำการเกษตรดอกขจร เขาไม่ได้มีความรู้ทางด้านนี้มากนัก แต่อาศัยใจรัก หมั่นสอบถามผู้ที่มีประสบการณ์ และศึกษาถึงความเป็นไปได้ เพื่อเตรียมรับมือกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น และเตรียมแก้ไขไว้ล่วงหน้าอย่างดี ทำให้เมื่อเริ่มต้นทำการเกษตรปลูกดอกขจรอย่างจริง ๆ จัง ๆ ทุกอย่างจึงราบรื่น ไม่ว่าจะเป็นการปลูก โรคพืช หรือ ด้านการตลาด ทุกอย่างเป็นไปตามที่เขาศึกษา และเตรียมการณ์ไว้ การทำการเกษตรของเขาจึงราบรื่น และประสบผลสำเร็จได้ภายในปีแรกเลยทีเดียว
“ถามถึงความภูมิใจ ก็ภูมิใจมากๆในการทำเกษตรเต็มตัว มีคนเคยสบประมาทว่าออกมาทำเกษตร ไม่รอดหรอก มีเสียงสบประมาทเยอะตั้งแต่ออกมาจากโรงงาน แต่ใช้เวลาไม่ถึงปี ผมก็ประสบความสำเร็จ อยากจะบอกว่า ที่มีคนว่าเกิดเป็นเกษตรกรไม่โอเค ผมอยากจะบอกว่า ผมไม่เห็นด้วย ถ้าดูถูกการทำการเกษตร ก็อย่ามากินของๆ เกษตรกรอย่างผม”
ดอกขจร บำรุงธาตุบำรุงตับ แก้เสมหะเป็นพิษ
ที่มาที่ไป ก่อนผันตัวเป็นเกษตรกร...
เกษตรกรหนุ่ม คุณกบ ปรมินทร์ ประทุมมา อยู่ที่ อ.ศรีประจันต์ จ.สุพรรณบุรี หันมาสานต่ออาชีพปลูกดอกขจรของที่บ้าน เพราะเห็นว่าเป็นพืชที่ยังทำเงินได้ดี ภายในเนื้อที่ 1 ไร่ เขามีเงินหมุนเวียนเข้ามาวันละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท ปัจจุบันปลูกแล้วถึง 5 ไร่ ดอกขจรในสวนแห่งนี้เป็นขจรพันธุ์ดอก มีลักษณะดอกใหญ่ ทนโรคแมลง และใช้เวลาในช่วงเช้าเก็บดอกขจรที่ออกช่อเรียงรายเต็มระแนง
ก่อนที่เขาจะกลับมาสานต่ออาชีพที่บ้าน เขาเป็นเซลล์อยู่บริษัทแห่งหนึ่ง จุดเปลี่ยนของเขาก็คือ เขาต้องการเวลาว่างในการใช้ชีวิต จึงหันทำมาทำการปลูกผัก ตอนแรกก็ปลูกพริกก่อน แต่ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เลยหันมาปลูกพืชที่บ้านมีอยู่แล้ว และทางคุณแม่ มีประสบการณ์อยู่เรา เขาเลยตั้งใจเอาตัวนี้มาขยายเป็นเรื่องเป็นราว ก็คือ ดอกขจร นั่นเอง
ความรู้ในการปลูกตอนแรกไม่มีเลย จึงต้องถามจากคนที่มีประสบการณ์ จากเพื่อนบ้าง จากคุณแม่บ้าง จากคนที่ทำมาแล้ว จากญาติพี่น้อง แล้วก็ไปหาพวกเกษตรอำเภอบ้าง และเมื่อเริ่มต้นปลูก ปัญหาที่เจอก็คือ หนึ่งเรื่องโรค จะมีพวกเพลี้ยพวกหนอนต่าง ๆ เขาจึงหันมาศึกษาเรื่องสายพันธุ์ของมันเพื่อแก้ปัญหา จึงหาสายพันธ์ที่ทนโรคมาปลูกแทน
หลังเก็บดอกขจรแล้ว ก็จะมานั่งคัดเลือกดอกที่บาน และไม่ได้ขนาดออก โดยเนื้อที่ 1 ไร่ จะเก็บดอกขจรขายได้ถึงวันละ 30 – 40 กิโลกรัม ซึ่งสามารถนำมาทำอาหารได้หลายเมนูทั้งแกง ยำ เป็นผักต้ม หรือผักลวกจิ้ม มีแม่ค้ามารับซื้อถึงสวน โดยเฉพาะหน้าฝน ดอกขจรจะออกมาจำนวนมาก แม้ราคาไม่สูงเท่าหน้าหนาว แต่ก็ได้ผลตอบแทนไม่น้อยทีเดียว
ดอกขจร หรือ ดอกสลิด ที่เห็นกันอยู่นี้เป็นผักพื้นบ้านที่กระแสความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบัน ต้นขจรที่ปลูกกันอยู่ในบ้านเรามีอยู่ 2 สายพันธุ์ครับ คือ “ ขจรพันธุ์พื้นบ้าน ” ซึ่งดอกจะมีขนาดเล็ก ออกดอกเฉพาะช่วงหน้าฝน และอีกพันธุ์ก็คือ “ ขจรพันธุ์ดอก ” ซึ่งได้มาจากการคัดเลือกสายพันธุ์พื้นบ้านจนได้ขจรพันธุ์ที่มีดอกใหญ่ ออกดอกดก
เหตุผลที่ทำให้ ดอกขจร ได้รับความนิยม เพราะ ติดใจในรสชาติ..หวานๆกรอบๆ นำไปทำอาหารได้หลายเมนูและที่สำคัญ ขจร ปลูกง่าย โตเร็ว ทนแล้งได้ดี เหมาะสำหรับ ” มือใหม่ หัดปลูก” อย่างเรามากๆ และประโยชน์ ของดอกขจร ที่ดีต่อสุขภาพ
ดอกขจร สรรพคุณทางยาและประโยชน์ของขจรนั้นถือว่ามีสรรพคุณต่างๆมากมาย ดังต่อไปนี้
1.รากสามารถนำมาบดผสมกับยาหยอดตาได้ เพื่อรักษาอาการตาอักเสบ
2.ช่วยบำรุงตับได้
3.ช่วยขับเสมหะ
4.ช่วยเรื่องโลหิตเป็นพิษได้
5.ช่วยทำให้อาเจียนเพื่อรักษาอาการเป็นพิษเบื่อเมาได้
6.ดอกจะช่วยบำรุงปอดและตับได้
7.ดอกยังช่วยบำรุงร่างกายสำหรับสตรีมีประจำเดือนด้วย
8.ช่วยบำรุงหัวใจได้
9.ดอกยังสามารถช่วยอาการวิงเวียนและอาการคลื่นไส้ได้
10.ช่วยเรื่องของระบบขับถ่าย
คุณปรมินทร์ ประทุมมา เกษตรกรผู้ปลูกขจร ตำบลปลายนา อำเภอศรีประจัน บอกว่า ดอกขจรเป็นพืชที่ชอบแดดและทนแล้งได้ดี มีอายุยาว อยู่ได้นาน ในสภาพดินที่อุดมสมบูรณ์และน้ำถึงตลอดปี ที่สำคัญการลงทุนต่อไร่น้อย แต่สามารถออกดอกให้ผลผลิตทั้งปี และถ้าในช่วงหน้าหนาวหากมีดอกออกมาก็จะได้ราคาแพงเป็นที่น่าพอใจเลยทีเดียว
ขจรเป็นไม้เลื้อยที่ชอบความโปร่ง ดังน้ัน พื้นที่ปลูกจะต้องให้แสงส่องถึงตลอดเวลาโดยแปลงปลูกจะใช้ไม้ไผ่สูงประมาณ 1.5 – 2 เมตร ปักต่อกันเป็นเส้นตรง แต่ละเสาห่างกัน 1 เมตร และขึงตาข่ายเป็นแนวยาวอย่างที่เห็น โดยแต่ละแถวจะห่างกัน 50 เซนติเมตร และมีหลุมปลูกที่ขนาดพอดีกับตุ้มดินของต้นกล้า ระยะห่างระหว่างหลุม 30 เซนติเมตร จากนั้นก็จะนำต้นกล้าอายุประมาณ 1 เดือน ลงปลูกหลุมละ 2 ต้น
หลังจากปลูกต้นกล้าลงดินแล้ว แต่ละวันจะรดน้ำเช้า – เย็น บำรุงด้วยปุ๋ยสูตร 15 – 15 – 15 สลับ 25 – 7 – 7 เดือนละ 2 ครั้ง หมั่นตรวจทำความสะอาดแปลงให้โล่ง ตรวจดูโรคและแมลง เพียงแค่ 3 เดือนก็สามารถเก็บ ดอกขจรชุดแรกจำหน่ายได้แล้ว
คุณปรมินทร์ บอกว่า เทคนิคการทำให้ดอกขจรดก หลังจากเก็บดอกแล้ว จะต้องหมั่นตัดแต่งกิ่งเมื่อพุ่มเริ่มหนา เพื่อให้ทรงพุ่มโปร่ง เท่านี้ต้นขจรก็จะแตกยอดออกมาใหม่พร้อมกับมีดอกตามมาเรื่อยๆ ยิ่งตัดก็จะยิ่งแตก
การปลูกง่ายๆ เลยคือ ขุดหลุมแล้วก็เอากล้าลง ประมาณหนึ่งเดือนแล้วเราก็มาทำค้าง ค้างของมันก็คือ ทำเป็นแบบตรงตรงก็ได้ ประหยัดดี ก็จะมีไม้ มีตาข่าย แล้วก็มีลวดเท่านั้นเอง มันจะใช้เวลาประมาณสามเดือนในการเริ่มตัดดอก ส่วนดิน มันก็จะขึ้นได้ทุกสภาพดิน ขอแค่น้ำไม่ท่วมขังเท่านั้น เรื่องการดูแลพันธุ์ที่ใช้นี้ก็จะมีแค่เพลี้ยตัวเดียว ส่วนปุ๋ยก็จะมีสองตัวที่ใส่อยู่ ก็สูตรเสมอ 15.7 7 ส่วนการให้น้ำ ดูที่ดินว่าแห้งไหมก็จะให้สามวันครั้ง ไม่บำรุงอะไรเป็นพิเศษ ระยะเวลาในการเก็บเกี่ยว พอติดดอกเก็บได้แล้ว เก็บได้ประมาณสองวันสามวันครั้ง หรือไม่ก็วันเว้นวัน ขึ้นอยู่กับสภาพดิน ราคาขายหน้าร้อน หรือ หน้าฝนก็จะอยู่ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 50 ถึง 80 บาท แต่ถ้าหน้าหนาวราคาจะสูงจะอยู่ที่ 150 ถึง 200 บาท แต่ดอกจะน้อยหน่อย
พื้นที่การปลูกของคุณขจรตอนนี้มีประมาณเจ็ดไร่ หนึ่งไร่ก็จะได้ประมาณ 30 ถึง 40 กิโลกรัม ตลาดที่เขาส่งคือ ตามตลาดนัด และ ตลาดสี่มุมเมือง
นอกจากคุณปรมินทร์มีดอกขายแล้ว ก็ยังมีต้นพันธุ์ขายด้วย ราคาต้นละ 15 บาท มีทั้งลูกค้ามารับที่ไร่ และมีบริการส่งทางไปรษณีย์ทั่วประเทศด้วย
กิ่งที่มีเครือดอกขจรโตสมบูรณ์และใบร่วงหมดแล้ว เหมาะแก่การนำไปปักชำ
นายปรมินทร์ ประทุมมา
เลขที่ 193 หมู่2 ตำบลปลายนา
อำเภอศรีประจัน จังหวัดสุพรรณบุรี
72140


