

"สมศักดิ์ จุ้ยนาม : กับฟาร์มผักครบวงจรที่ไทรน้อย"

ในสวนของเราคือห้องเรียนอันกว้างใหญ่
เรียนรู้ของจริงปฏิบัติจริงทดลองจริง

คุณสมศักดิ์ จุ้ยนามหรือลุงเครา วัย65 ปี ที่ดูสุขภาพดีต่ำกว่าวัย
จากชีวิตเกษตรกรที่พึ่งพาสารเคมีใช้ทุกอย่างที่เขาว่าดี ลงทุนมากแต่ก็ไปไม่รอดเต็มไปด้วยหนี้สิน การที่กล้าออกมาจากกรอบเดิมๆ เริ่มมองสิ่งรอบตัวนำภูมิปัญญาของบรรพบุรุษมาศึกษา ทดลองด้วยตัวเองจนสามารถนำสมุนไพรมาใช้ทดแทนสารเคมีได้ทั้งหมดชีวิตก็ไม่หมดหวังมีเงินเหลือเก็บใช้หนี้ได้อย่างสบายใจ
“ทำเกษตรทำไปเรื่อยๆไม่ต้องคิดมาก ทำแบบพอดี อย่าโลภ อย่าฝันลมๆแล้งๆ ทำให้ดีที่สุดแล้วเขาจะตอบแทนให้เราเอง” หลักคิดในการทำเกษตรของคุณสมศักดิ์ จุ้ยนาม (ลุงเครา)ง่ายๆไม่ซับซ้อนไม่ต้องคิดมาก การทำเกษตรคิดให้ดีแล้วลงมือทำไปตามลำดับอย่าไปกังวลจนเกินเหตุ บางครั้งคนเราจะปลูกกล้วยถามถึงตลาดจะขายใคร จะปลูกมะนาว ถามว่าปลูกกันเยอะๆไม่ล้นตลาดเหรอ แล้วขอถามหน่อยเถอะว่าปลูกกล้วย ปลูกมะนาวกันแล้วหรือยัง ยังไม่ปลูกแล้วจะรู้ได้อย่างไร ดังนั้นสิ่งที่ต้องทำคือศึกษาหาความรู้แล้วลงมือทำพืชจะเป็นตัวบอกเราเอง สังเกตทดลองจากของจริงเป็นการเรียนตรงและเร็วที่สุดได้ผลที่สุด หลักการทำเกษตรต้องทำแบบผสมผสานปลูกหลายๆอย่าง ทำหลายๆอย่างให้ครบวงจรเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตเป็นสิ่งที่ทำมาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับเกษตรกรที่ทำเคมีมาก่อนอยากจะทำเกษตรอินทรีย์ แนะนำว่าควรเริ่มต้นทำแบบผสมผสาน โดยค่อยๆถอยเคมีออกทีละน้อย อย่าเพิ่งทำอินทรีย์เพียงอย่างเดียวเพราะยังขาดความเชี่ยวชาญ อย่างในแปลงถ้าแมลงลงก็ควรใช้เคมีไปก่อนเพื่อกำจัดให้หมดสิ้นแล้วจึงค่อยตามด้วยอินทรีย์ หัวใจสำคัญคือต้องจัดการแปลงให้สะอาดปราศจากแมลงจากนั้นจึงค่อยเริ่มต้นด้วยอินทรีย์ จะได้ตัดปัญหาว่าทำอินทรีย์แล้วไม่ได้ผลผลิตแมลงกินหมด
ผักปลอดสารสวยไในแปลงที่ไม่มีแมลงรบกวนเลย
คุณสมศักดิ์ จุ้ยนาม หรือที่รู้กันในนาม “สวนลุงเครา” ใน ตำบลทวีวัฒนา อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี แหล่งรวมพืชผักอินทรีย์เพื่อการส่งออกเป็นที่ยอมรับของตลาดทั้งในและต่างประเทศ บนเนื้อที่กว่า 25 ไร่ที่เจ้าของสวนดัดแปลงเป็นเป็นสวนเกษตรผสมผสาน มีทั้งผักกินใบและพืชให้ผล ปลูกอยู่เต็มพื้นที่ ซึ่งแบ่งออกเป็นแปลงๆ อย่างชัดเจน พืชผักที่ปลูกจะสลับหมุนเวียนกันไปตลอดทั้งปี ลุงเคราเริ่มวิถีเกษตรอย่างจริงจังเมื่อปี 2519 จากการทำนาเพียงอย่างเดียวด้วยเนื้อที่เพียง 15 ไร่ จากนั้นในปี 2528 ก็หันมาปลูกไม้ผลเสริม อาทิ ส้มเขียวหวาน มะม่วง พุทรา ลำไย ฯลฯ พร้อมกับขุดบ่อเลี้ยงปลา การทำนาและไม้ผล แต่ก็ใช้ปุ๋ยเคมีและสารกำจัดศัตรูพืชอย่างเต็มที่หวังให้มีผลผลิตเพิ่ม แต่สุดท้ายก็ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ เหตุเพราะค่าปุ๋ยค่ายาที่มีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่แมลงศัตรูพืชก็เกิดอาการดื้อยา ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้นมาก ส่วนผลผลิตก็ขายไม่ได้ราคา จนมาเจ๊งกับสวนส้มเมื่อปีพ.ศ.2539 ตอนนั้นส้มร่วงหมดยาฆ่าแมลงก็เอาไม่อยู่เป็นหนี้ทันที 5 แสนบาทจนต้องไปกู้ธนาคารเพื่อการเกษตรมา 1ล้านบาทเพื่อใช้หนี้เก่าและมาลงทุนต่อ การใช้เคมีไม่ตอบโจทย์ยิ่งทำยิ่งจนร่างกายยิ่งแย่ จึงกลับมาศึกษาเรื่องสมุนไพรไล่แมลง ทำการทดลองเองเลยว่าแมลงจะทนทานพ่ายแพ้สมุนไพรชนิดไหนในปริมาณเท่าไหร่ ทดลองจนประสบผลสำเร็จใช้สมุนไพรไล่แมลงมาจนถึงปัจจุบัน
ที่ฟาร์มลุงเคราเป็นฟาร์มที่ปลูกพืชแบบผสมผสานมีทั้งกล้วยที่ปลูกรอบคันล้อม หญ้าแฝก กล้วยหอมทอง ผักในโรงเรือนกางมุ้ง มะนาวมีทั้งแบบในบ่อซีเมนต์ แบบลงดินในร่องสวน ซึ่งทั้งสองแบบสามารถบังคับให้ออกนอกฤดูได้เหมือนกัน
การปลูกผักในโรงเรือนกางมุ้งมีมากมายหลายแบบสำหรับสวนลุงเคราหลังจากที่ได้ทดลองทำจนได้ผล ก็เลิกการปลูกผักแบบยกร่องเหมือนสมัยก่อนไปจนหมดสิ้น เนื่องจากต้นทุนการผลิตระยะยาวที่ค่อนข้างสูงใช้แรงงานมาก ดูแลรักษาลำบาก ลุงเคราจึงเปลี่ยนระบบการผลิตผักมาเป็นการปลูกในโรงเรือนกางทุ้งทั้งหมด ถึงแม้จะต้องใช้ทุนในครั้งแรกสูงมาก โรงเรือนละ 100,000 บาทก็ตาม แต่ถ้าเทียบในระยะยาวนั้นคุ้มค่าเนื่องจากปลูกผักเพียง 4 รอบก็จะได้ต้นทุนคืนกลับมาทั้งหมด รอบที่ 5 คือกำไรแล้ว อายุการใช้งานของโรงเรือนเฉพาะโครงอยู่ได้เป็นสิบปี ส่วนมุ้งก็ราวๆ 3 ปี
ใน 1 โรงเรือนลุงเคราจะมีแคร่เหล็กที่ใช้เป็นแปลงปลูกทั้งหมด 9 แคร่ขนาดกว้าง 1เมตรเศษยาว 6 เมตร 1 ตารางเมตรลงผักได้ราว 100 ต้นสามารถคำนวณต่อรอบการปลูกได้เลยว่าจะได้กำไรเท่าไหร่ในช่วง 30-45 วัน ซึ่งการปลูกผักบนแคร่ในโรงเรือนกางมุ้งแบบนี้จะใช้คนดูแลเพียง 1 คนต่อ 3-4 โรงเรือน ซึ่งประหยัด ทำงานสบายไม่ร้อน ไม่ต้องก้มๆเงยๆให้ปวดหลังเสียสุขภาพ
การปลูกผักในโรงเรือนกางมุ้งแบบสวนลุงเคราเป็นการปลูกผักบนแคร่ที่ยกสูงจากพื้นราว 1 เมตรมีการปรับปรุงดินปลูกด้วยอินทรีย์วัตถุจำพวกปุ๋ยคอกในแคร่ 1 ล็อคมีความยาว 6 เมตรจะใช้ปุ๋ยคอกราว 5 กระสอบก็สามารถปลูกผักได้ถึง 5 รอบ(1ปี) ในรอบหลังๆใช้ปุ๋ยมูลไส้เดือนคลุกเคล้ากับเชื้อราไตรโคเดอร์ม่าเพื่อควบคุมเชื้อราที่จะทำให้เกิดโรครากเน่าโคนเน่า ย่อยดินให้ละเอียดจากนั้นทำการหว่านเมล็ดผักลงในแปลงจะหว่านหรือหยอดเป็นแถวแล้วแต่เรา การหว่านเมล็ดถี่เมื่อผักโตแล้วจะต้องทำการจัดระเบียบผักให้มีระยะห่างใกล้เคียงกันแต่ถ้าหยอดเมล็ดเป็นแถวก็ไม่ต้องทำอะไรเพียงแค่ทำการรดน้ำ ฉีดน้ำหมักไม่เกิน 3 ครั้งต่อรอบการปลูก สำหรับการรดน้ำที่สวนลุงเคราใช้วิธีลากสายยางเดินรด ใต้แคร่ด้านล่างจะปลูกพืชที่ไม่ต้องการแสงแดดจัด ชุ่มชื้นอย่างจำพวกวอเตอร์เครส รดน้ำครั้งเดียวน้ำที่ไหลลงด้านล่างก็เต็มไปด้วยปุ๋ย พืชด้านล่างก็งามโดยที่ไม่ต้องทำอะไรแล้ว ข้อสำคัญการปลูกผักในรอบถัดไปไม่ควรปลูกผักชนิดเดียวซ้ำที่กันจะต้องเปลี่ยนชนิดผักเพื่อป้องกันโรค เชื้อรา แมลงเช่นรอบแรกปลูกผักสลัด รอบต่อไปปลูกคะน้า เป็นต้น
ลุงเครานอกจากประสบความสำเร็จในอาชีพเกษตร ผลิตผักคะน้าและมะนาวปลอดสารพิษได้ โอทอป ระดับ 4 ดาวแล้วได้แบ่งปันถ่ายทอดความรู้สู่เกษตรกรและผู้ที่สนใจในรูปแบบต่างๆไม่ว่าจะเป็นวิทยากรพิเศษ ,จัดสร้างศูนย์เรียนรู้ในพื้นที่ของตนเองอบรมสัมมนา สอนการปลูกมะนาว,การเลี้ยงไส้เดือน ,เป็นแปลงเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีการผลิตเพื่อการตลาด โครงสร้างและพัฒนาเกษตรกรรุ่นใหม่ ปี2555 กรมส่งเสริมการเกษตร,รางวัลครูภูมิปัญญาแห่งชาติ รุ่นที่7 ปี พ.ศ.2554
ใช้ปุ๋ยคอกบำรุงดิน ใช้ปุ๋ยคอกเพียง 5 กระสอบก็สามารถปลูกผักได้ถึง 5 ปี
คุณสมศักดิ์ จุ้ยนาม(ลุงเครา)
ที่อยู่ 4/1 หมู่4 ตำบลทวีวัฒนา
อำเภอไทรน้อย จังหวัดนนทบุรี
11150


