เกษตรกรต้นแบบ

"กิตติคุณ พรหมพิทักษ์ : เที่ยวทุ่งดอกเบญจมาศ จ.สระบุรี ที่มีมากกว่า 30 สายพันธุ์ บนพื้นที่กว่า 100 ไร่"

 10 พฤศจิกายน 2563 1,813
จ.สระบุรี
สู้ไม่ถอย ล้มแล้วต้องลุก ห้ามหยุด

หลักคิดของคุณเต้ก็คือ "สู้ไม่ถอย ล้มแล้วต้องลุก ห้ามหยุด" คุณต้องสู้ เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกท้อ ขอให้ลุกขึ้นมาให้ได้ ต้องสู้ทุกอย่าง จะบอกว่าทุกอย่างมีทางออกก็ไม่จริง แต่ดีกว่าปล่อยให้มันไม่มีทางออก ต้องสู้ต้องดิ้นรนตราบใดที่ยังมีแรง ท่องกับตัวเองทุกวันนี้คือเกิดมาครั้งหนึ่งครั้งเดียวเท่านั้นเอาให้สุด จะพูดตลอด

ความสุขใจในการทำเกษตรของคุณเต้คือ ไม่ต้องเดินทาง ทำงานอยู่กับบ้าน ทุกคนเริ่มทำงานตอนไหน คุณเต้ก็ทำงานตามนั้น แต่ไม่ต้องไปรอกลัวรถติด จะต้องไปก่อน ก็เลยรู้สึกว่าการทำเกษตรนี้ได้อยู่ในที่ ๆ อากาศดี เจอคนน้อย มีความสุขดี ไม่ต้องเดินทางไกล มีแค่เดินทางไกลไปส่งของ แต่ก็ไม่ได้บ่อยนัก ก็รู้สึกว่าวิถีชีวิตแบบนี้มีความสุขกว่า ช่วงโควิดที่ผ่านมาเขากักตัว แต่คุณเต้ปลูกผักกินอยู่ที่บ้าน ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ตอนนี้ให้คะแนนชีวิตตัวเอง 6 เต็ม 10 เพราะมองไว้ว่าต้องดีกว่านี้ คุณเต้ยังคิดว่าสามารถพัฒนาได้อีกสักนิดหนึ่ง ให้คะแนนสัก 8 จะดี แต่ตอนนี้อยู่แค่ 6 ยังไม่เต็ม 10

การจะทำสิ่งใดจะต้องศึกษาก่อนในทุกขั้นตอน เพื่อรู้ว่าจริง ๆ แล้วการเกษตรต้องการอะไรบ้าง แล้วก็ลองลงมือทำเล็ก ๆ แล้วค่อย ๆ โตขึ้น อย่าสุ่มสี่สุ่มห้าทำเยอะเลย เพราะมันเหนื่อยมาก เหนื่อยเกินไปมันจะทำให้หมดกำลังใจไปได้ง่าย ๆ ค่อย ๆ ก่อนไม่ต้องรีบ ช้าเร็วถ้าสำเร็จก็สำเร็จเหมือนกัน คุณต้องนึกต้องทราบก่อนว่าการเป็นเกษตรกรในสมัยนี้คือการเป็นเจ้าของกิจการ คุณจะต้องรู้ทุกเรื่อง คุณจะต้องทำได้ทุกอย่าง เพราะเมื่อใดที่คุณไม่สามารถทำได้ทุกอย่างในส่วนของคุณได้ คุณก็จะต้องจ้าง เมื่อต้องจ้างเมื่อไหร่คุณก็จะต้องลงเงิน เพิ่มต้นทุน มันจะสูงขึ้น เพราะฉะนั้นก่อนที่คุณจะทำอะไรก็ต้องดูก่อน ต้องรู้เรื่องไฟฟ้า ต้องรู้เรื่องปั๊มน้ำ ต้องรู้เรื่องรถไถ ต้องรู้เรื่องการตลาด ต้องรู้เรื่องแรงงาน ต้องรู้เรื่องโซเชียล คุณต้องรู้ทุกเรื่องเพื่อที่จะเอามาใช้ คุณจะต้องเอามาใช้ปลูก ใช้ขาย คุณจะต้องขายเอง พยายามอย่าผ่านพ่อค้าคนกลาง ไม่ใช่พ่อค้าคนกลางไม่ดี แต่มีโอกาสจะเจอคนที่ไม่ดีได้สูง เพราะเขาจะกดราคา แต่ก็ไม่ใช่ทุกคน

คุณเต้ - กิตติคุณ พรหมพิทักษ์ อายุ 35 ปี ทำสวนบิ๊กเต้ได้ประมาณ 13 ปีแล้ว จบวิศวกรรมศาสตร์ เอกเครื่องกล จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่หันมาทำสวนดอกเบญจมาศเพราะครอบครัวได้ฟังในหลวง ร.9 ตรัสบ่อย ๆ ว่าประเทศเราต้องเป็นประเทศเกษตร ตอนนั้นฟังหลาย ๆ รอบเข้า มันก็เข้าไปในหัว ก็ลองพิจารณาดูแล้วมันมีแนวโน้มที่จะเป็นแบบนั้น ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าอุตสาหกรรมจีนจะมาแรงมากขนาดนี้ จนรู้สึกว่าอนาคตเราต้องแพ้จีนแน่ ๆ เลย ถ้ายังทำอุตสาหกรรมอยู่แบบนี้ ก็เลยลองเปลี่ยนจากอุตสาหกรรมมาเป็นเกษตรดู โดยที่เมื่อเรียนจบก็ไม่ได้ไปทำงานที่อื่นเลย เพราะคุณแม่ซึ่งเป็นข้าราชการครู เออรี่รีไทร์มาเริ่มทำก่อน ตอนนั้นคุณเต้ใกล้เรียนจบแล้ว พอเรียนจบก็มาชวยคุณแม่ทำต่อเลย และที่เลือกทำดอกไม้เพราะไปเที่ยวที่เชียงใหม่ เห็นเขาทำกันบนดอยแล้วสวยดี ความสวยของมันทำให้คุณแม่หลงใหล คุณแม่เป็นผู้หญิงก็เลยสนใจที่จะทำสวนดอกไม้

ตอนนี้คุณเต้ปลูกดอกเบญจมาศอยู่บนพื้นที่ 100 ไร่ โดยรวมทั้งพื้นที่ถนน โรงแพะ ร้านค้าทั้งหมดไว้ด้วย โดยมีทั้งหมด 30 - 40 สายพันธุ์ มีทั้งแม่พันธุ์ด้วย ทั้งโรงชำด้วย เป็นกล้าเล็ก ๆ ด้วยประมาณ 60 แปลง โดยการปรับปรุงสายพันธุ์ที่มีอยู่ให้แข็งแรงขึ้น คัดเลือกลักษณะที่ดีเอามาขยายพันธุ์ต่อด้วยการชำ ด้านของสี มีเจ็ดสี หลัก ๆ จะเป็นขาวกับเหลืองที่ขายดีที่สุด รองลงมาจะเป็นสีชมพูกับม่วง แล้วที่เหลือนี้จะน้อยมาก ๆ โดยคุณเต้จะปลูกตามความต้องการของตลาด

การแบ่งสัดส่วนพื้นที่ ประมาณ 50 - 60 ไร่ จะเป็นโรงเรือนดอกไม้ โรงแพ็คและสำนักงานจะอยู่บนพื้นที่ประมาณ 3 ไร่ ที่จอดรถอยู่ประมาณ 1 - 2 ไร่ การแบ่งพื้นที่ก็คือว่างตรงไหนก็หย่อนตรงนั้น เพราะพื้นที่มันเป็นที่ลาดบางทีก็เป็นหินทำอะไรไม่ได้ก็ต้องเว้นไว้

ในเรื่องการปลูกการดูแล เรื่องที่สำคัญที่สุดของเบญจมาศก็คือเรื่องของอากาศ อากาศต้องเย็นตลอดทั้งปี ช่วงหน้าหนาวไม่ค่อยมีปัญหา ถ้าลมหนาวพัดมาก็เย็น บนดอยก็เย็น แต่ช่วงหน้าร้อนกับหน้าฝนจะเป็นปัญหาของเบญจมาศ ช่วงฤดูฝนก็จะชื้นทั้งเดือน จะเป็นปัญหาเน่า ต่อให้มีลมเดินอย่างไรความชื้นก็สูงมาก ต่อให้ระบายน้ำดีอย่างไรแต่ไม่มีแสงเลย มืดตลอด ก็จะไม่ดี ซึ่งเรื่องสถานที่ปลูกก็สำคัญมาก หลังจากจบอากาศ ก็จะมาเรื่องดิน ที่นี่เป็นดินเหนียวรากไชยากมาก ก็ต้องปรับปรุงและบำรุงเยอะมาก ๆ มันก็จะเป็นค่าใช้จ่าย ถ้าสามารถเลือกที่ดินที่ดีได้ และอากาศดีด้วย มันก็จะดี แต่บางครั้งก็เลือกไม่ได้ ก็ต้องแก้ปัญหาตามหน้างานไป แล้วก็ใส่แกลบบ้าง บำรุงดินบ้าง อัดขี้วัวไปเยอะ เพื่อที่จะให้โครงสร้างดินค่อนข้างโปร่ง ถ้าโปร่งดีรากก็จะดี

การดูแลให้น้ำ การให้น้ำปกติจะให้แค่วันละหนึ่งครั้งช่วงเช้าหรือสาย ๆ แต่ถ้าช่วงอากาศร้อน ดินแห้งมาก ๆ ก็จะให้สองรอบเช้าเย็นเลย ถ้าช่วงที่ฝนจัด ๆ บางทีก็ไม่ต้องรดเลย เพราะว่ารดไปแล้วอยู่ได้นานไม่แห้ง ปุ๋ยที่นี่จะใช้ขี้วัว เพราะมวกเหล็กเขาจะเลี้ยงวัวค่อนข้างเยอะ ขับไปใกล้ ๆ ขับไปปากซอยก็เจอคอกวัวแล้ว ก็จะใช้ขี้วัวเป็นหลักในการทำปุ๋ย ที่เหลือก็จะเป็นปุ๋ยเคมีเสริมบ้างนิดหน่อย

ส่วนแมลงที่มารบกวนดอกไม้ ส่วนใหญ่จะเป็นหนอน หนอนสารพัดหนอน ทั้งเพลี้ยอ่อน เพลี้ยไฟ ไรแดง จริง ๆ แล้วเป็นร้อยชนิดเลย หนอนชอนใบก็มีสองถึงสามชนิด มีเพลี้ยแป้งอีก เวลาเขาหักข้าวโพดเสร็จ เขาไถ มันก็มากับข้าวโพด ต้องคอยดูแลกันดี ๆ ต้องให้ลูกน้องตื่นมาฉีดยาทุกวัน เป็นยาชีวภาพ

ปัญหาของคุณเต้ตอนแรก ๆ คือคุณเต้ไม่มีตลาดเลย จะปลูกน้อยก็ไม่ได้ ต้องปลูกเยอะอย่างเดียว เพราะว่าอยู่ไกลตลาด จะมาปลูกวันหนึ่งได้ 20 - 30 กำ แล้วไปส่งก็หมดค่าน้ำมันแล้ว ก็จะต้องทำเยอะ เพื่อที่จะได้ไปทีเดียว แต่ไปทีเดียวก็ขายยาก เหมือนกับว่ายังใหม่อยู่ ตลาดดอกเบญจมาศเป็นอะไรที่ค่อนข้างจะ Unique นิดหนึ่ง มีคนปลูกน้อยแต่ความต้องการเยอะ ยังต้องนำเข้าอยู่ แต่พอคุณเต้เป็นเจ้าใหม่เข้าไป เขาก็มีเจ้าประจำอยู่แล้ว แล้วเจ้าประจำก็มีนำเข้าจากต่างประเทศ ซึ่งพอจะเข้าไปแทรกตรงนี้ เขาก็กลัวว่าของเราจะมีส่งให้เขาเรื่อย ๆ ไหม ถ้าเกิดวันหนึ่งของเราขาด แต่ว่าเขาปฏิเสธทางโน้นไปแล้ว เขาจะเอาสินค้าที่ไหน คุณเต้ก็ต้องเลือกเจ้าที่เขาขาดจริง ๆ เขาแย่งกับเจ้าอื่นไม่ไหว ตลาดก็จะมีหลายเกรดหลายที่หลายแบบ บางเจ้านี่คือเขาเป็นเจ้าใหญ่จริง ๆ เขาก็จะมีของตลอดอยู่แล้ว อันนี้ก็จะเข้ายาก แต่เจ้าเล็ก ๆ นี้เขาก็จะมีบ้าง ไม่มีบ้าง เขากล้าที่จะเสี่ยง คุณเต้ก็ต้องไปขายเจ้าที่เขายอมเสี่ยงซื้อของของเรา

ตอนแรกเลยตลาดของคุณเต้อยู่ที่โคราชบ้าง ตลาดไทบ้าง สี่มุมเมืองบ้าง ปากคลองตลาดนี้จะน้อย หลัง ๆ นี้ตลาดในกรุงเทพฯ แทบจะไม่มีเลยเพราะว่าเขากดราคา คุณเต้ก็เลยทำคนละตลาดกับเขา โดยทำคุณภาพนิ่ง ๆ ทำราคานิ่ง ๆ ปริมาณนิ่ง ๆ เน้นแค่ขายหมด

วิธีการขนส่งของคุณเต้มีทั้งเรานำไปให้เขาที่ร้าน และที่ร้านมารับที่สวนเลย สำหรับต่างจังหวัดจะขายเจ้าใหญ่ด้วย เจ้าเล็กด้วย ก็จะมีทั้งส่งเยอะส่งน้อย ส่งเยอะก็มีปิคอัพไปส่งได้เลย ส่งน้อยบางทีก็ขึ้นรถทัวร์บ้าง รถไฟบ้าง แล้วแต่ หรือเขามารับเองบ้าง ผ่านมาเขาตีรถเข้ากรุงเทพฯ เขาก็แวะรับไปบ้าง มีทุกรูปแบบ โดยไม่ว่าจะการส่งแบบไหนก็แทบจะไม่มีความเสียหายเลย ด้วยเบญจมาศมันแข็งแรง เอาลงลังธรรมดาไม่ต้องแช่เย็นอะไรเลย ไปถึงเขาก็ตัดแช่น้ำแค่นั้น โดยที่สวนบิ๊กเต้จะตัดช่วงเย็น ๆ วันเว้นวัน เป็นกิจประจำของที่สวน คือวันหนึ่งจะปลูก วันหนึ่งจะตัด สลับกัน

หลังจากทำดอกไม้แล้ว สวนสวยอยู่ตัวดูดีแล้ว ก็มีผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีหลายท่านเข้ามาเยี่ยมมาชม แล้วก็บอกว่าให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวซิ เขาเห็นว่ามีศักยภาพที่สามารถเป็นแหล่งท่องเที่ยวได้ เที่ยวแต่คุณเต้ปฏิเสธเพราะว่ายังไม่พร้อม สาเหตุเนื่องจากตอนนั้นสวนดอกไม้ยังสวยบ้างไม่สวยบ้าง เกรงว่าถ้าลูกค้ามาแล้วมันไม่สวย ก็จะรู้สึกไม่ดี ตอนนั้นมากันสองสามคนก็ปฏิเสธหมด จนกระทั่งเวลาผ่านไปประมาณ 5 - 6 ปี 7 ปี ก็เริ่มคิดว่าตอนนี้เริ่มที่จะนิ่งแล้ว คนก็เข้ามาชวนกันเรื่อย ๆ ไม่ใช่มีแค่ผู้ว่าราชการจังหวัดเข้ามาชวน ทั้งสมาคมท่องเที่ยวนี้ก็เข้ามาชวนกันเรื่อย ๆ คุณเต้ก็ยังสองจิตสองใจว่าจะเปิดดีหรือไม่เปิดดี เพราะว่าตอนนั้นก็ยังไม่พร้อมอะไรเลย ร้านค้าก็ยังไม่มี ห้องน้ำก็ยังไม่มี ยังไม่มีอะไรให้ลูกค้าเลย มีแต่สวนล้วน ๆ วันหนึ่งก็มีคนหาโลเคชั่นของกองถ่ายเข้ามา เรื่องบัลลังก์ดอกไม้จะมาขอถ่าย คุณเต้ก็ตกลงทันที รู้สึกว่าได้จังหวะแล้ว เพราะจะมีคนมาประชาสัมพันธ์สวนให้แล้ว หลังจากนั้นก็เปิดให้เป็นที่ท่องเที่ยว ระหว่างละครถ่ายไปก็เริ่มเปิดนิด ๆ หน่อย ๆ

เมื่อเปิดแล้ว ตอนแรกก็กลัวว่านักท่องเที่ยวนำโรคมาให้ดอกไม้ แต่พอเปิดไปแล้วก็ไม่ได้ต่างอะไร โรคก็มาตามฤดูกาล ไม่ได้มาจากคนที่มาท่องเที่ยว ทางสวนก็ดูแลจัดการไปตามฤดูกาล ตอนนี้รายได้หนึ่งปีเกือบ 10,000,000 บาทเฉลี่ยตกเดือนละประมาณ 700,000 - 800,000 บาท เป็นรายได้จากดอกไม้อย่างเดียวเลย ส่วนร้านกาแฟก็ประมาณ 10% ของรายได้ทั้งหมด ลูกค้าหลัก ๆ เป็นลูกค้าภายในประเทศ มีสิงคโปร์ มาเลเซีย จีน บ้างแต่น้อย

การขาย ขายเป็นกำ ๆ ละ 1 กิโลกรัม กำละ 100 บาท แต่ถ้าขายส่งก็จะอีกราคาหนึ่ง จะถูกกว่านี้

แหล่งอ้างอิงข้อมูล

คุณเต้ - กิตติคุณ พรหมพิทักษ์ ที่อยู่ : 213 หมู่ 5 ต.หนองย่างเสือ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี 18180 FB : สวนบิ๊กเต้ BigTae Garden - สวนเบญจมาศบิ๊กเต้

เที่ยวทุ่งดอกเบญจมาศ จ.สระบุรี ที่มีมากกว่า 30 สายพันธุ์ บนพื้นที่กว่า 100 ไร่ [ rbk | รักบ้านเกิด ]

เรื่อง/ภาพโดย: นนท์ ทีมงานรักบ้านเกิด