

"สาริศา เกตุทอง : บ้านนอกคอกนาโฮมสเตย์ FarmStay ของคนมี Style"

เพราะปัญหาเป็นสิ่งที่เราต้องพบเจอ

สิ่งที่คุณตุ้ยยึดไว้ในใจเลย คือ “ไม่หนีปัญหา” ปัญหาเป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องเจอถ้าเกิดเราเจอปัญหาแล้ว เราไม่หนีปัญหา เราสู้กับทุกอย่างที่มันเข้ามา ยังไงมันก็เจอทางออก นอกจากนั้นคือ ไม่ดูถูกเงินน้อยเงินมาก ที่สำคัญที่คุณแม่สอนคุณตุ้ยไว้คือ ถ้ายังไม่จนอยู่อย่างจนไม่มีทางจน ยังไม่รวยอยู่อย่างรวยก็ไม่มีทางรวย มันก็คือการใช้ชีวิตแบบกึ่งกลางที่พอเหมาะพอดี เราก็จะไม่ต้องลำบากจนเกินไป ทุกวันที่เดินอยู่มีหลักในใจแค่นี้
วันนี้สิ่งที่คุณตุ้ยได้รับจากการสร้าง “บ้านนอกคอกนา” คือ การตื่นมาแล้วได้มองเห็นที่ดินทั้งหมดที่ตนเองเกิดมาเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น ตื่นมาแล้วเราเห็นพนักงานที่นี่ซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนที่เห็นกันมาตั้งแต่เด็ก บางคนได้เลี้ยงคุณตุ้ยมา ให้ข้าวคุณตุ้ย แล้ววันหนึ่งก็มาทำงานอยู่ด้วยกัน ได้เห็นเขาเดินหิ้วตะกร้าไปเก็บผักแล้วเอามาส่งเข้าครัว ได้มองเห็นเขามีอาชีพทำในบั้นปลายชีวิตของเขา ซึ่งเมื่อก่อนป้า ๆ เขาก็ไปใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ ไปเป็นพนักงานโรงงาน หรือบางคนก็เป็นเกษตรกรที่มีรายได้บ้างไม่มีบ้าง แต่ตอนนี้ได้มาเป็นพนักงานชงกาแฟ ได้มาเป็นพนักงานต้อนรับลูกค้า ได้มาเป็นแม่บ้านที่ส่งลูกค้าเข้าบ้านพัก แล้วก็เห็นเขาอธิบายบ้านพักแต่ละหลัง มันเป็นสิ่งที่คุณตุ้ยนั่งมองแล้วเป็นความสุขที่ไม่น่าเชื่อว่าเด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่อยู่ตรงนี้มาจะทำอะไรอย่างนี้ได้ เป็นความสุขที่ส่งต่อความสุขให้กับคนที่เรารู้จัก เรารัก แล้วเขาได้ทำได้มีอาชีพ แล้วตัวคุณตุ้ยเองก็ตื่นมาได้กินอาหารที่ปลูกไว้ ชงกาแฟที่ชงขึ้นมาเอง ชมนกชมไม้ แล้วก็ได้เห็นคนที่เดินทางมาแล้วเข้าที่พักที่คุณตุ้ยทำขึ้นมา ได้เห็นพ่อแม่มีความสุข คนมาชื่นชมเขาว่าบ้านสวย พ่อแม่เขาก็แอบยิ้ม จากเดิมที่คิดว่ามันจะเป็นไปได้เหรอลูก ใครเขาจะมาบ้านเรา บ้านเราอยู่ไกลมากเลยนะ ที่เราไม่มีอะไรเลย แต่ตอนนี้พ่อเขาเดินออกมาทักทายแขกที่มาพัก พาแขกใส่บาตรอะไรอย่างนี้ มันเป็นความสุขที่ใจคุณตุ้ยอย่างแท้จริง สิ่งที่คุณตุ้ยเขียนไว้ในกระดาษที่วาดฝันไว้ ตอนนี้มันสำเร็จแล้ว เป็นความสุขที่สุดแล้ว
คุณตุ้ยเชื่อว่าการทำการเกษตร หรืองานใดก็ตาม ระหว่างทางมันมีอุปสรรคมีปัญหาแน่นอน สิ่งที่ต้องเตรียมคือ การเตรียมพร้อมทางจิตใจ เคยอยู่ในสังคมเมืองหลวงต้องกลับมาตากแดดนะ ต้องมาปลูกเองนะต้องมีใจที่แน่วแน่ว่าจะทำงานนี้จริง ๆ พอใจเรามีความแน่วแน่ต่อความฝัน ให้มีอุปสรรคมากมายขนาดไหน เราจะไม่ท้อ นอกจากนั้น อีกสิ่งที่สำคัญคือการวางแผนทางการเงิน เมื่อมีความฝันแล้ว ระหว่างทางที่เราเดินตามความฝัน ก็ต้องมีการวางแผนทางการเงิน เพราะระหว่างสร้างฝัน เรายังคงต้องใช้จ่าย ต้องมีเงินเก็บเพื่อนำมาใช้ในระหว่างนี้ ฉะนั้นถ้าเรามีแต่ความฝัน แล้วเรายังใช้ชีวิตอยู่แบบเดิม ๆ ความฝันก็ไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นจริง ฉะนั้นมีความฝันแล้วก็ต้องวางแผน แล้วก็รอเวลาที่จะได้กลับมาทำความฝันของตัวเอง
คุณตุ้ย - สาริศา เกตุทอง เจ้าของธุรกิจบ้านนอกคอกนา อายุ 41 ปี บ้านนอกคอกนาที่เป็นฟาร์มสเตย์ ความฝันของคุณตุ้ย ที่สร้างบ้านพักท่ามกลางแปลงผักเกษตรอินทรีย์ ที่ก่อร้างสร้างขึ้นจากทั้งความฝันและเรี่ยวแรงของตนเอง
คุณตุ้ยเกิดและเติบโตตรงที่ดินนี้ ตอนเด็ก ๆ หมู่บ้านนี้ชนบทมาก ๆ เป็นดินแดง ๆ เป็นถนนลูกรัง คุณตุ้ยเป็นเด็กในไม่กี่คนของหมู่บ้านที่ได้ไปเรียนในอำเภอ ต้องนั่งรถไปในตัวอำเภอประมาณ 30 - 40 กิโลเมตร ต้องตื่นประมาณตีสี่ครึ่ง หน้าหนาวเป็นช่วงเวลาที่โหดมากเพราะว่าต้องตื่นแต่เช้า ต้องให้พี่ขี่รถมอเตอร์ไซด์ไปส่งเพื่อนั่งรถสองแถวที่อีกหมู่บ้านหนึ่ง ประมาณ 4 - 5 กิโลเมตร เพราะว่ารถสองแถวเขาไม่เข้ามาที่นี่ เพราะว่ามันไม่มีคน ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์ไปที่หมู่บ้านหนึ่ง แล้วไปรอที่บ้านเพื่อน แล้วก็ขึ้นรถสองแถวไปกับเพื่อน ๆ สมัยนั้นคุณตุ้ยยังได้ใช้เตารีดที่ใช้ถ่านรีดชุดนักเรียน เอาใบตองรองแล้วรีดชุดนักเรียนอยู่
พอคุณตุ้ยเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ก็ไปเรียนต่อระดับ ปวช. และ ปวส. ที่ตัวเมืองโคราช พอเรียนจบ ปวส. ก็เข้ามาทำงานกรุงเทพฯ ตอนอายุ 20 ปี พี่ชายพี่สาวของคุณตุ้ยอยู่ที่กรุงเทพฯ อยู่แล้ว พี่ ๆ ไปใช้ชีวิตที่กรุงเทพฯ ตั้งแต่จบมัธยมศึกษาปีที่ 3 ไม่ได้เรียนต่อ เพราะต้องเสียสละให้คุณตุ้ยเรียน แต่ถึงแม้พี่ ๆ จะสละให้คุณตุ้ยเรียนแล้ว คุณตุ้ยก็ยังต้องหยุดเรียนไป 2 ปี เพราะว่าพ่อแม่ไม่มีเงินส่ง ต้องหยุดเรียน แล้วก็มาเรียน เสาร์ – อาทิตย์ แล้วทำงานไปด้วย ก่อนที่จะได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยก็ต้องทำงานก่อนสองปีเพื่อหาเงินไปเรียน ไปจ่ายค่าเทอม
งานที่ทำเหมือนเป็นงานการตลาด หรือเป็นเลขาไปด้วย จนเรียนจบการจัดการอุตสาหกรรม เกี่ยวกับการออกแบบโรงงานสายเครื่องจักรเป็นหลัก เลยทำให้ได้เข้าสู่วงการเครื่องจักร แล้วจริง ๆ มีพื้นฐานความชอบทางด้านงานขายอยู่แล้ว อยากขายอะไรที่มันใหญ่ ๆ เช่น งานเครื่องจักร ก็เลยเข้าสู่วงการเครื่องจักร เพราะจบสายอุตสาหกรรมมา ก็เลยได้ไปขายพวกปั๊มลมระบบลำเลียงในโรงงานอุตสาหกรรม แล้วก็พวกเจนต่าง ๆ ที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมหนัก ก็เลยมาในด้านนี้ตลอด เงินทุนที่มาทำบ้านนอกคอกนานี้ก็มาจากที่ได้ทำงานสายอุตสาหกรรมมา ก็มาต่อยอดมาทำในสิ่งที่ฝันอยากจะทำต่อไป
คุณตุ้ยเริ่มอยากจะทำบ้านนอกคอกนาตั้งแต่อายุประมาณ 30 ปี อยากจะทำที่พักแบบบ้านนอกคอกนา เพราะตอนแรกไปใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงเทพฯ ความรู้สึกตอนนั้น คือ ต้องกลับบ้านเรา ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะอยู่ไปตลอดชีวิต ด้วยความที่เติบโตมาในพื้นที่โล่ง ๆ ก็คิดมาตลอดว่าเราอยากจะกลับมาทำอะไรที่บ้าน เรามีที่ดินของพ่อแม่ แต่ก็ไม่ได้กลับมาสักที เพราะว่ามันยังมีปัจจัยอีกหลายอย่าง คือ หนึ่งกลับมาแล้วจะอยู่อย่างไร ยังมีภาระ ยังมีหนี้สิน ยังมีบัตรเครดิตต้องผ่อน แล้วที่สำคัญกลับมาแล้วจะนำเงินทุนที่ไหนมาทำในสิ่งที่อยากจะทำ ดังนั้นในระหว่างทางที่เราจะกลับมา มันจะต้องมีปัจจัยต่าง ๆ ที่วางแผนแล้วว่าจะกลับมา มันจะต้องกลับมาได้อย่างยาวและถาวร ไม่ใช่ไป ๆ กลับ ๆ ไปอยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่อายุ 20 ปี ก็เริ่มฝันที่จะกลับบ้านแล้ว มาจริงจังตอนอายุ 30 ปี แล้วถึงมาทำ
เมื่อก่อนพื้นที่ของบ้านนอกคอกนาในปัจจุบันจะปลูกหน่อไม้ไผ่ตง เป็นป่าไผ่รก ๆ ด้านหลังจะเป็นป่าไผ่หมดเลย แล้วจะมีปลูกข้าวโพดบ้าง ปลูกผักบ้างสลับกันไป ช่วงหลัง ๆ คุณแม่ของคุณตุ้ยจะปลูกไว้กินเท่านั้น เพราะสู้ราคาสารเคมีที่จะมาใช้ให้พืชผักงามไม่ไหว คุณแม่ก็เลยไม่ได้ปลูกมาก คุณตุ้ยกลับมาก็กลับมาปรับพื้นที่ใหม่หมดเลย คือ ต้องมาตีป่าเอาไผ่ออก ปลูกป่าใหม่ เพราะว่าที่บ้านไม่มีต้นไม้ที่ให้ร่มเงาเลย มีแต่ต้นไผ่
ก่อนจะเป็นบ้านนอกคอกนา คุณตุ้ยใช้เวลาเรียนรู้ประมาณ 5 ปีได้ เป็นช่วงทดลองการทำเกษตรอินทรีย์โดยที่ไม่ใช้สารเคมี โดยที่คุณตุ้ยไม่มีประสบการณ์เลย เพราะเติบโตมากับการเห็นพ่อแม่ทำเกษตรที่ปลูกผัก ฉีดยา ฆ่าวัชพืช โตมานิดหนึ่งก็ใส่ปุ๋ย รู้แล้วว่าต้นไม้สวยงามต้องมีปุ๋ย ต้องมียูเรีย ก็คิดว่าแล้วว่าจะทำอย่างไรต้นไม้ถึงจะไม่ตาย ต้นไม้จะรอดได้อย่างไร ฤดูไหนควรจะปลูกอะไร ในช่วง 5 ปีก็ศึกษา ลองปลูกผักในช่วงแต่ละฤดูกาล อย่างเดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคมปลูกอะไรดีที่มันจะรอด ช่วงฤดูฝนจะปลูกอะไรดีแล้วมันรอด ฤดูหนาวควรปลูกอะไรดี ก็เลยทดลอง ปีเดียวยังไม่รู้ ก็ต้องลองปลูกปีที่สอง ที่สาม ที่สี่ ที่ห้า คือลองผิดลองถูกมาตลอดประมาณห้าปี
พื้นฐานของพ่อแม่คุณตุ้ยเป็นเกษตรกร ปลูกข้าวโพด อ้อย มันสำปะหลังเป็นหลัก สมัยก่อนมีที่ดินค่อนข้างเยอะอยู่ฝั่งตรงข้ามบ้าน การที่พ่อแม่จะทำเกษตร ด้วยความที่ไม่มีเงินทุน ต้องใช้หลักทรัพย์ไปกู้ยืม หลักทรัพย์ของที่นี่ก็คือ ใบที่ดิน จะต้องนำที่ดินไปจำนองไปวางค้ำประกันไว้ เพื่อจะได้เอาเงิน เอาเมล็ดพันธุ์ เอาปุ๋ย เอายาฆ่าวัชพืช รวมทั้งเงินที่ใช้กินอยู่ระหว่างปีที่ยังไม่มีผลผลิตอะไรจากการทำเกษตร เมื่อถึงเวลาก็เอาผลผลิตที่ได้ไปให้เขา แต่มันก็ไม่เท่ากับจำนวนเงินที่เอามา มันก็ทบกันไปแบบนี้ในแต่ละปี หนี้ยังมีอยู่ ขอเพิ่มมาใหม่ มันก็จะเป็นการเพิ่มพูน สุดท้ายแล้วพ่อกับแม่ก็ต้องเสียที่ให้เขาไป สุดท้ายก็เหลือแค่แปลงตรงนี้พื้นที่ 11 - 12 ไร่ พ่อแม่ก็เลยต้องหยุด แล้วคุณตุ้ยก็บอกว่าพอเถอะ มันไปต่อไม่ได้แล้ว หยุดการทำเกษตรเคมีดีกว่า ทำเท่าที่มี แค่ยังมีอาหารกิน มีผักทาน แค่นี้น่าจะดีกว่า แล้วก็ไม่มีหนี้แล้ว มันน่าจะดีกว่ากับการที่จะต้องไปทำเยอะ ๆ แล้วไม่มีรายได้เพิ่มเข้ามา แถมยังมีหนี้สินอีก ก็เลยเป็นสูตรที่ว่าพอทีกับการทำเกษตรเคมี แล้วเปลี่ยนมาทำเกษตรอินทรีย์
เหตุที่เป็น “บ้านนอกคอกนา” เพราะตอนเด็ก ๆ คุณตุ้ยมีความคิดตลอดเวลาว่า ตอนที่ไปในตัวอำเภอหรือตัวจังหวัดก็ตาม จะรู้สึกว่าหมู่บ้านตัวเองชนบทมาก รู้สึกอายเพื่อนว่าเราอยู่บ้านนอก แต่พอเติบโตได้ไปใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกรุง ความคิดก็เริ่มเปลี่ยน เริ่มมีความรู้สึกว่าโชคดีที่มีบ้านนอกเป็นของตัวเอง เพราะว่าตอนที่ไปอยู่ที่กรุงเทพฯ จะกลับบ้านทุกเสาร์-อาทิตย์ จะกลับบ้านวันหยุด ปีใหม่ก็จะกลับบ้าน ซึ่งในการกลับบ้านแต่ละครั้งเพื่อนจะถามว่าปีใหม่นี้ไปไหน สงกรานต์นี้ไปไหน ก็บอกไปว่ากลับบ้านนอก เพื่อนที่เกิดในกรุงเทพฯ เขาก็อิจฉาว่ามีบ้านนอกให้กลับ ก็เลยมีความคิดว่าบ้านนอกนี้มันเจ๋ง ตนเองโชคดีมากเลยที่มีบ้านนอกเป็นของตัวเอง พอทำที่พักเชิงเกษตร ชื่อแรกที่อยากจะทำหรือชื่อแรกที่อยากให้คนรู้จักความเป็นบ้านนอกเลย ก็เลยชื่อ “บ้านนอกคอกนา” แล้วก็อยากให้ภาพบ้านนอกคอกนาไม่ใช่มีแค่กระท่อม นา หรือแค่มีควายอยู่ในทุ่งนา อยากให้รู้ว่าคนบ้านนอกสามารถสร้างงานสถาปัตยกรรมที่มันเท่ ๆ ที่มันเก๋ ๆ เข้าไปกับธรรมชาติได้ ก็เลยอยากให้คำว่าบ้านนอกช่วยให้เด็กยุคใหม่รู้สึกภูมิใจในความเป็นบ้านนอกของตัวเอง เหมือนกับที่คุณตุ้ยรู้สึกภูมิใจที่ตัวเองเป็นคนบ้านนอก เกิดบ้านนอก แล้วก็ได้กลับมาทำบ้านนอกให้คนรู้จัก นอกจากนั้น เป็นไอเดียที่มาจากเพื่อน ๆ ที่ใฝ่ฝันมากเลยว่า ตื่นมาอยากจะมานั่งจิบกาแฟ รดน้ำต้นไม้ รดน้ำผัก นั่งชมแปลงผัก ชมนกชมไม้ คุณตุ้ยเลยรู้สึกว่าคนปัจจุบันอยากจะมีอะไรอย่างนี้มากเลย แต่ตัวคุณตุ้ยเองเกิดมาก็เจอสิ่งนั้น และมองว่ามันเป็นเรื่องธรรมดามาก แต่มันกลับเป็นที่ต้องการของคนทั่วไป ก็เลยคิดว่าแทนที่ในบ้านพักจะปลูกจัดสวนเหมือนทั่วไป ก็ปลูกผักสวนครัว ปลูกผักที่มันกินได้เหมือนกับที่บ้านตนเองปลูก ก็เลยเป็นไอเดียที่เอาผักมาอยู่กับบ้านทุกหลัง บางทีจะไปเก็บผักตอนเช้ายังต้องขออนุญาตลูกค้าว่า “บ้านวะวาบคะ วันนี้ขออนุญาตมาเก็บผักบุ้งหน่อยนะคะ” ซึ่งก็เป็นไอเดียที่มาจากความต้องการของคนที่มาพักด้วย แล้วจากที่คุณตุ้ยมองดู มันทำให้เขารู้สึกว่าเขากลับมาบ้านของเขานะ นี่บ้านนอกของเขานะ
แต่อุปสรรคแรกที่เจอหลังจากกลับมาทำบ้านนอกคอกนา คือ ตอนแรกที่ทำเกษตร ทำแบบไม่ค่อยจริงจังเท่าไหร่ ก็เลยไม่มีอุปสรรค พ่อกับแม่ก็บอกว่าปล่อยไปเถอะ คงบ้าคงฝันทำอะไรไปเรื่อยเปื่อย แต่อุปสรรคแรกที่เจอเลยจริง ๆ ก็คือตอนเข้าไปคุยกับพ่อกับแม่ว่าจะทำที่พักเชิงเกษตร มีที่พัก แล้วก็ทำเกษตรอินทรีย์ สร้างที่พักในลักษณะที่ต้องใช้วัสดุธรรมชาติ คือพวกไม้ไผ่ อะไรแบบนี้ แล้วต้องนำที่ดินของพ่อแม่มาทำ และนี่คืออุปสรรคแรกเลย เพราะแม่คิดว่า การทำลักษณะนี้มันเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเราอยู่ห่างไกลจากแหล่งท่องเที่ยวที่คนจะผ่านเข้ามา ก็เป็นความห่วงใยว่าลูกสาวจะไม่ประสบความสำเร็จ พ่อกับแม่ไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่จะทำ มันก็คืออุปสรรค รวมไปถึงคำพูดที่บั่นทอนกำลังใจที่จะทำให้เดินไปสู่จุดหมายที่วางไว้ ตรงนี้ก็เป็นอุปสรรคในการทำบ้านนอกคอกนาอย่างจริงจังในวันนั้น
พอคุณตุ้ยเริ่มทำที่พักเชิงเกษตร บางคนอาจจะมองว่าการทำที่พักเชิงเกษตรวัสดุดูง่ายมาก ไม้ไผ่ แปลงผัก วัสดุหาง่าย แต่ในความเป็นจริงในการทำที่พักลักษณะนี้มีค่าใช้จ่ายสูงมาก มันเป็นอะไรที่ต้องสวยตลอด เมื่อลงภาพไม้ไผ่สีเหลืองตัดกับไม้ไผ่สีเขียวลงไปในเพจ ลูกค้าก็มีความหวังมากเลยว่าเวลามาจะต้องเหมือนกับภาพที่ลงไป คุณตุ้ยจึงค่อนข้างกังวลมากว่า ภาพที่ลูกค้าเห็นกับภาพในความเป็นจริงต้องค่อนข้างไม่แตกต่างกัน ทำให้ต้องเปลี่ยนไม้ไผ่ทุกปี หรืออย่างน้อยที่สุด 2 ปี 1 ครั้ง รวมถึงพืชผักเชิงเกษตรก็ต้องปลูกผักตลอดทั้งปี ฉะนั้นการปลูกผักต้องใช้คนการทำเกษตรอินทรีย์จริง ๆ ต้นทุนหลักเลยคือคน เพราะว่าไม่ใช้สารเคมีเลย เพราะฉะนั้นจะต้องใช้คนมาถอนหญ้าตามแปลงผัก มาปลูกผักทั้งปี ทำอย่างไรให้พื้นที่มันเขียว ให้ดูเป็นธรรมชาติไม่ดูปรุงแต่งจนเกินไป เหล่านี้คือการจัดการที่คุณตุ้ยยังไม่ค่อยมีประสบการณ์ ก็ต้องเรียนรู้ไปแล้วก็ค่อยแก้ไป
จุดเด่นของบ้านนอกคอกนานั้นเน้นไปที่บรรยากาศ การคาดไม่ถึง ตลอดระยะเวลาที่เดินทางเข้ามา เชื่อว่าทุกคนบ่นมาตลอดทางเลยว่าเป็นหลุมเป็นบ่อ มันจะมีอะไรที่เป็นที่พักได้หรือ เขาจะประสบปัญหากับการเดินทางที่ไม่สะดวกมาก พื้นที่เจอแต่ป่าแต่ไร่ที่มันไม่น่าจะมีที่พักเลย แต่เมื่อมาถึง ความตั้งใจแรกเลยที่คุณตุ้ยอยากจะทำ อยากให้เขารู้สึกว่า เขาไม่ได้คาดหวังที่จะต้องมาเจออะไรที่สวยงามแบบนี้ แต่พอเข้ามาแล้วเจอความสวยงามแบบนี้ เป็นความสวยงามแบบบ้าน ๆ ทำมาจากชีวิตจริง อาจจะไม่มีภูเขาที่เหมือนเขาใหญ่ หรือมีสิ่งอำนวยความสะดวกเหมือนภาพที่เขาคิดไว้ที่เขาใหญ่ แต่พอเขาได้มานั่งฟังเสียงธรรมชาติที่ตรงนี้ เขาจะมีความสุข อยากมาซ้ำอีก ที่นี่ไม่ได้มีอะไรมากมาย แต่แขกที่มา มาจนรู้จักกัน กลับมาจนจำหน้ากันได้ จนเป็นเพื่อนกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกัน ก็คือคนที่โหยหาธรรมชาติเหมือน ๆ กัน
พื้นที่บ้านนอกคอกนาตอนนี้มีทั้งหมด 12 ไร่ แบ่งเป็นด้านหน้า 1 ไร่เป็นที่อยู่อาศัยของพ่อแม่ ของพี่สาว ขับรถเข้ามาจะเห็นบ้านพี่ชายอยู่ในรั้วเดียวกัน ส่วนด้านหลังบ้านก็จะแบ่งเป็นโซนของร้านอาหาร คาเฟ่ แล้วก็เรือนรับรอง เวลาที่ผู้คนเดินทางมาเยี่ยมบ้าน จะเป็นที่ต้อนรับ ข้ามสะพานไปก็เป็นที่ดินอีกแปลงหนึ่ง ในแปลงสามไร่ฝั่งนี้จะปลูกผักหมุนเวียนทั้งหมดเพื่อให้ลูกค้าได้ชมแล้วได้เห็นวิถีของที่ไร่ด้วย ผักที่นี่จะส่งเข้าร้านอาหารของบ้านนอกคอกนา ข้ามไปฝั่งที่พัก 3 ไร่ แบ่งเป็นสร้างบ้านพักทั้งหมด 13 หลัง บ้านพักแต่ละหลังจะปลูกผักทุกอย่างที่ทานได้ รวมถึงผักสด ผักสวนครัวผสมผสานไปจนถึงดอกไม้ เพราะจะต้องใช้ดอกไม้มาจัดแต่งสถานที่ เพราะฉะนั้นฝั่งด้านในจะมีทั้งผัก ไม้ผล ไม้ดอก ไม้ยืนต้นสูงเพื่อให้ร่มเงา ไม้ระดับกลางไปจนถึงคลุมดินพวกถั่วบราซิลซึ่งอยู่ในพื้นที่ 3 ไร่ แล้วก็มีพื้นที่อีก 2 ไร่ ที่อยู่อีกด้านหนึ่งจะปลูกเป็นพืชไร่ ก็จะมีแก้วมังกร มัลเบอร์รี่ แต่ตอนนี้พักแปลงอยู่ ปกติจะปลูกเป็นข้าวโพดหวาน พอหักข้าวโพดเสร็จก็จะปลูกปอเทืองเพื่อปรับปรุงดิน ปลูกปอเทืองเพื่อให้ลูกค้าได้ถ่ายรูปแล้วก็จะไถหมักปุ๋ย แล้วก็จะปลูกไปเรื่อย ๆ แต่ปีนี้ในครัวต้องการนำผลของมัลเบอร์รี่มาทำเค้กมาทำอะไรมากขึ้น ก็เลยต้องวางแผนการปลูกเพื่อที่จะลงต้นหม่อนหรือมัลเบอร์รี่เข้าไป แล้วก็มีเสาวรสที่ใช้ทำเมนูเครื่องดื่ม มีพวกข่า ตะไคร้ ใบมะกรูด อะไรที่ใช้ในครัวปลูกหมด แล้วก็จะมีที่อีก 1 ไร่ครึ่ง จะปลูกพืชไร่ คือข้าวโพดหวานเพื่อส่งครัวเช่นกัน สลับกับการปลูกถั่ว บางทีก็ปลูกถั่วบราซิล ช่วงหน้าหนาวบางทีก็อาจจะปลูกทานตะวันให้ลูกค้าได้มีกิจกรรมไปถ่ายรูปบ้าง จะมีการปลูกหมุนเวียนตลอด ไม่ซ้ำ เพราะว่าถ้าปลูกซ้ำดินจะไม่มีแร่ธาตุ
แต่กว่าที่ดินจะมีแร่ธาตุปลูกอะไรขึ้นอย่างวันนี้ คุณตุ้ยต้องปรุงดินตลอดเวลา เพราะเดิมพื้นที่ตรงนี้ใช้สารเคมี เมื่อปลูกผักแล้วมันจะมีผักเน่าก็ทิ้งไว้ในแปลงเลย แล้วก็พลิกหน้าดิน พรวนดิน นำดินด้านล่างขึ้นมาตากก่อน ถ้าแดดดี ๆ ตากไปเลยหนึ่งอาทิตย์ พอตากหน้าดินได้ที่แล้ว ก็ใส่ทั้งขี้แพะ ขี้ไก่ แล้วก็ขี้วัว 3 อย่าง เอาใส่ลงในดินแล้วหมักไว้ 3 คืน ก่อนที่จะลงผัก การลงผักก็คือนำฟางลงไปก่อนเพื่อคลุมดินก่อน แล้วนำต้นผักที่เพาะไว้มาปลูก พอมีวัชพืชขึ้นมาตรงนี้ต้องใช้แรงงานคนถอนหญ้าในแปลง
เหตุที่คุณตุ้ยใช้ขี้แพะในการปรุงดินด้วยนั้น เพราะเมื่อก่อนใช้ขี้วัวอย่างเดียว ลองผิดลองถูกไป ได้รู้ว่าถ้าใส่ขี้วัวอย่างเดียวหรือขี้ไก่อย่างเดียวจะเค็มไป ขี้แพะไม่เค็มเท่า แล้วแถวนี้ชาวบ้านเลี้ยงวัวนม เลี้ยงแพะ เลี้ยงไก่อยู่แล้ว คุณตุ้ยก็บอกพนักงานว่าใครมีอะไรก็นำมาขายได้ เพราะว่าในพื้นที่นี้ขาดอย่างเดียวคือบ้านนอกคอกนาไม่ได้เลี้ยงสัตว์ เพราะว่ามันเป็นพื้นที่ที่อยู่อาศัยด้วย มีลูกค้ามาพักด้วย ถ้าเลี้ยงสัตว์มันอาจจะมีเรื่องไร หรือแมลงเข้ามารบกวนลูกค้า ก็เลยไม่ลี้ยงดีกว่า เพราะยังไงก็อยู่ในพื้นที่หมู่บ้านที่มีการเลี้ยงสัตว์เยอะอยู่แล้ว เดินไปไหนก็เจอขี้วัว สามารถไปขอซื้อมาได้
ส่วนผักที่ปลูกตอนนี้ ก็คือผักสลัดที่ส่งขึ้นไลน์อาหารเช้า จะมีสลัดขายให้กับพวกลูกค้าอยู่แล้ว ทั้งกรีนโอ๊ค เรดโอ๊ค เรดคอส แล้วก็มีผักกาดแก้ว แต่หน้าฝนปลูกไม่ได้ ใช้ไม่ได้ ผลผลิตจะต้องปลูกช่วงหน้าหนาว แล้วก็ผักสวนครัว เช่น ถั่วพู ผักบุ้ง ฟักทอง มะเขือ เช่น มะเขือเปราะ มะเขือเทศ มะเขือม่วง มะเขือยาว เพราะจะต้องจัดเซตเมนูน้ำพริกให้ดูมีสีสัน
กลับมาที่พื้นที่ให้บริการลูกค้า จะมีแบ่งเป็นโซน สำหรับลูกค้าที่มาพักทานอาหารเช้าจะอยู่ที่บนเรือนรับรอง โซนรอบแปลงผัก นั่งริมคลองกันทั้งหมด มีโซน A B C โซน D จะอยู่ชั้น 2 ด้านบน ก็จะมองไปได้ทั่ว เห็นวิวฝั่งโน้น เมื่อข้ามคลองไปจะมีโซนที่พัก จะติดป้ายไว้อย่างชัดเจนเพื่อขอความเป็นส่วนตัวให้กับลูกค้าที่มาพัก บางทีเสาร์-อาทิตย์คนเยอะมาก มีคนเดินทางมาเยี่ยม ก็ต้องขอความเป็นส่วนตัวให้กับลูกค้าที่พัก เพราะว่าบางทีลูกค้านอนเล่นอ่านหนังสือ ถ้านักท่องเที่ยวเข้าไปถ่ายรูป เขาจะไม่สะดวกใจ ก็เลยต้องขออภัยที่ต้องแบ่งกันทั้งสองฝั่งเพื่อให้มีความเป็นส่วนตัวด้วย
บ้านนอกคอกนาเปิดบริการทุกวัน แต่ถ้าลูกค้าที่มาเที่ยวหรือลูกค้าที่ไม่ได้พัก จะเปิดบริการ 10.00 น. – 17.30 น. เพราะว่าครัวจะปิดตอน 5 โมงเย็น เพื่อให้ลูกค้าที่มาพักทานอาหารค่ำ พอ 5 โมงครึ่ง ลูกค้าที่มาพักก็จะเข้ามานั่งใช้พื้นที่ตามพื้นที่ต่าง ๆ เพราะฉะนั้นต้องปิดรับลูกค้าวอล์คอิน ยกเว้นลูกค้าที่มาไม่เกินหกท่าน ดูแล้วว่ามีพื้นที่ให้นั่ง ก็จะจัดอาหารให้
ไฮซีซั่นของบ้านนอกคอกนาคือฤดูฝนกับฤดูหนาว ฤดูฝนลูกค้าจะชอบเพราะว่ามาฤดูฝนต้นไม้จะเขียวหมดเลย อาจจะมี 3 ฤดูเลย ตอนเช้าจะเย็นสบาย พอสายไปเที่ยงไปบ่ายจะร้อน บ่ายสองไปเริ่มเย็น เริ่มมีฝน ฝนจะตกช่วงเย็น อากาศจะดี มีครบสามฤดูเลย ถ้าเจอฝนที่ตกเอื่อย ๆ แบบไม่มีลม มันก็จะได้บรรยากาศอีกแบบหนึ่ง มีกลิ่นไอของดิน มีโอโซนขึ้นมา ลูกค้าบางท่านก็ชอบมาฤดูฝน ส่วนฤดูหนาวอากาศจะดี จะหนาวมาก แต่มีข้อเสียคือต้นไม้จะทิ้งใบ ใบไม้จะร่วงหมด หนาวก็จริงแต่มันจะไม่เขียว จะเป็นไม้ดอก แต่ไม้ใบก็จะร่วงหมด เป็นช่วงผลัดใบของเขา
ที่บ้านนอกคอกนาจะได้ปรับปรุงบ้านเลยก็คือกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่เริ่มร้อน เดือนมีนาคม เดือนเมษายนเป็นช่วงร้อนคนจะไปเที่ยวทะเล ช่วงสามเดือนนี้จะเป็นช่วงของการปรับเปลี่ยนซ่อมบำรุงบ้านพัก บ้านตรงไหนอยากจะทำสีขัดเปลี่ยนไม้ ก็จะเป็นช่วงนี้ เป็นช่วงโลว์ซีซั่นพอดี ก็จะปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อรองรับฤดูฝน
สำหรับบ้านพัก บ้านพักแต่ละหลังคุณตุ้ยจะตั้งชื่อเป็นภาษาโคราช เพราะว่าภาษาโคราชจะมีเอกลักษณ์ที่เป็นของตัวเอง อย่างเช่น บ้านก็จะมีชื่อบ้านวะวาบ วะวาบภาษากลางจะแปลว่าโล่ง โล่งสบาย โล่งใจ โล่งอกอะไรอย่างนี้ แล้วก็บ้านสะออน สะออนภาษากลางแปลว่าน่ารัก บ้านคักโพด คักโพดแปลว่าสุดยอดมากเลย บ้านด๊ะดาด ด๊ะดาดแปลว่ามากมาย บ้านมุมุมิมิ มุมุมิมิแปลว่าอยู่อย่างสงบ แล้วก็มีบ้านจักแหล่ว จักแหล่วเป็นภาษาโคราชแปลว่าไม่รู้สิ ไม่รู้จัก ไม่รู้อะไรอย่างนี้ ก็จะคัดคำที่มันน่ารัก ๆ แล้วมีความหมาย มีอีกบ้านหนึ่ง คือ บ้านหมานหมาน หมานหมานภาษาโคราช ภาษากลางแปลว่าโชคดี
ภายในบ้านพักแต่ละหลัง จะแตกต่างกันเกือบจะทุกหลัง เพราะว่าการตกแต่งตามสไตล์ความต้องการของเจ้าของ ก็คือเราชอบแบบไหน ก็อยากจะให้มีความรู้สึกเหมือนห้องนอนของเรา หรือว่าบ้านของเราเอง การตกแต่งส่วนใหญ่จะเป็นงานทำมือ เป็นงาน D.I.Y. หรือไปเดินงานหรือไปเที่ยวที่ไหนมาแล้วเจอของที่มันน่ารักก็จะซื้อมาแต่งบ้านแต่ละหลัง ทำให้แต่ละหลังไม่เหมือนกัน แต่เน้นความเรียบง่าย โทนอบอุ่น ทำให้รู้สึกเหมือนมาพักผ่อน ไม่ให้รู้สึกเหมือนนอนโรงแรมจนเกินไป
ไม้ดอกที่ปลูกส่วนใหญ่จะเป็นไม้ประดับด้วย ให้มันตัดสีเขียวให้มองไปแล้วดูสดชื่น แล้วก็มีไม้ดอกที่เราต้องใช้ในการจัดแจกันเข้าบ้านพัก เพราะด้วยความที่ว่าบ้านนอกอยู่ห่างไกลที่จะต้องไปซื้อดอกไม้มาจัดแต่ง ก็ต้องปลูกดอกไม้เองเพื่อให้ในบ้านพักมีดอกไม้ มีความรู้สึกน่ารัก ละมุนละไม รวมถึงคาเฟ่ ร้านอาหาร ไลน์อาหารเช้า หรือว่าตรงส่วนเรือนรับรอง ก็ต้องปลูกดอกไม้ รวมถึงดอกไม้กินได้ ดอกไม้กินได้ก็คือต้องเอามาใช้ปรุงเครื่องดื่ม แล้วก็หุงข้าว อย่างเช่น อัญชัน แล้วก็ดอกไม้ที่ใช้จัดจาน มันก็ต้องเป็นดอกไม้ที่ทานได้ด้วย ก็ต้องเลือกดอกไม้ด้วย
จากพื้นที่ทั้งหมดที่คุณตุ้ยมี ยังมีพื้นที่เหลืออีก แต่คุณตุ้ยคงไม่เพิ่มบ้านพักแล้ว ที่อยากทำอีกคืออยากจะเพิ่มโซน สำหรับต้นไม้ เพราะว่าจากที่ลูกค้ามาพักแล้วเหมือนเขาอยากจะได้พันธุ์ต้นไม้ไปปลูก ก็เลยอยากจะเพาะพันธุ์พวกถั่วบลาซิล ต้อยติ่ง ต้นหม่อนหรืออะไรก็ตามที่ปลูกที่นี่ ทำเป็นเหมือนโซนต้นไม้ให้ลูกค้าได้ซื้อกลับไปแบบถูก ๆ แล้วคงจะเพิ่มเป็นกิจกรรมด้านหลังให้เด็ก ๆ ได้เก็บลูกหม่อน เก็บแก้วมังกร กิจกรรมเก็บดอกอัญชัน ช่วงเสาวรสออกผลก็เก็บเสาวรส ช่วงข้าวโพดอ่อนออกผลก็เก็บข้าวโพดอ่อน ก็คือจะเพิ่มเป็นกิจกรรมให้กับคนที่มาพักเพิ่มมากขึ้น
การทำการตลาดบ้านนอกคอกนาในช่วงแรก มีช่องทางเดียวเลยที่ทำตั้งแต่เริ่มวางแลนด์สเคป ขุดลอกคลอง ก็คือ โซเชียลมีเดีย คือ Facebook สมัยนั้นยังไม่ได้ทำ Instagram ทำ Facebook อย่างเดียว ช่วงนั้นมีแฟนเพจประมาณไม่ถึง 100 คนที่เข้ามาดู ก็บอกเขาว่าเรากลับมาพัฒนาที่ดินของพ่อและแม่ ก็เหมือนกับเล่าเรื่องชีวิต เล่าความเป็นจริงให้เขาเห็น จนกระทั่งเปิดบ้านนอกคอกนาก็มีคนมาช่วยทำการตลาดให้ ก็คือ YouTuber ต่าง ๆ คนที่เข้ามาแล้วรีวิว ช่วยบอกต่อแบบปากต่อปาก ก็บอกกันมาเรื่อย ๆ จนมาถึงวันนี้ รวมถึงสื่อต่าง ๆ ที่เห็นความตั้งใจของคุณตุ้ยก็เริ่มเข้ามา หลังจากนั้นก็นิตยสารช่วยโปรโมทบ้าง และตอนนี้ก็มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง ถ้าใครจะจองที่พัก ก็เข้าทางนั้นได้เลย เป็นระบบจองโดยตรงของบ้านนอกคอกนาเลย ลูกค้าสามารถที่จะจองและเลือกห้องที่ต้องการและสามารถชำระเงินผ่านเว็บไซต์ได้เลย หรือจะอยากจะโทรมาจองใน LINE แอดบ้านนอกคอกนา หรือจะโทรมาก็ได้ หรือจะจองทาง Facebook แฟนเพจก็ได้เลย
ส่วนผลตอบรับจากลูกค้าที่เข้ามา คือ ลูกค้าชอบที่มันเป็นชนบทแบบนี้ ชอบความที่เป็นบ้านนอก ไม่คิดว่าจะขับรถแบบนี้จากกรุงเทพแล้วมาเจอแบบนี้ ด้วยความที่เขาใหญ่คือที่พักสไตล์ยุโรป สถาปัตยกรรมที่มันทันสมัยทุ่งกว้าง ๆ อะไรแบบนั้น แต่ถ้าเสน่ห์ของปากช่องจริง ๆ ก็คือการเกษตร เป็นชนบทเลย เป็นเมืองของการทำเกษตร แค่ดึงความเป็นเกษตรเป็นบ้านนอกออกมาให้คนที่มาได้สัมผัส เขาจะชอบความเป็นชนบท ความเป็นธรรมชาติของที่นี่ ความเรียบง่าย ไม่มากเกินไป ถึงแม้จะมีความปรุงแต่ง แต่มันเป็นการปรุงแต่งที่ไม่มากเกินไปหรือน้อยเกินไป มันเป็นการผสมผสานที่พอดีระหว่างความสะดวกสบายกับธรรมชาติดั้งเดิมมารวมกัน ก็ยังอยู่สบาย แล้วยังได้ตื่นมารดน้ำ เก็บผัก ได้ทานอาหารที่ ORGANIC ปลอดสาร ได้มาชาร์จแบต ได้มานอนในบ้านพักที่ไม่มีทีวี ไม่มี Wi-Fi มาอยู่กับตัวเอง อยู่กับคนที่มาด้วย ไม่รู้ทำอะไรก็หันมาคุยกับคนที่มาด้วยกัน ถ้าไปที่พักอื่น ๆ อาจจะมีสิ่งที่อำนวยความสะดวกมากกว่านี้ ก็ไปก็แค่เปลี่ยนจากที่นอนที่บ้านตัวเองมานอนอีกที่หนึ่ง แต่ว่ามาที่บ้านนอกอยากให้ได้อารมณ์แบบที่สนใจสิ่งรอบ ๆ ตัวเองบ้าง ลองเปลี่ยนการใช้ชีวิตตัวเองแบบเดิม ๆ มาเป็นแบบที่เราลองสร้างขึ้นมา
สำหรับในเรื่องของราคาบ้านพัก จะแบ่งเป็นสองราคาก็คือ วันจันทร์ถึงวันพฤหัสบดีจะเริ่มต้นที่ 1,900 บาท ส่วนวันศุกร์ – เสาร์ - อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์ จะเริ่มต้นที่ 2,500 บาท แล้วบ้านพักจะแบ่งเป็นสำหรับพักได้สองท่านไปจนถึงพักได้แปดท่าน ซึ่งเหมาะสำหรับครอบครัวที่มากันคุณพ่อ คุณแม่ คุณปู่ คุณย่า คุณตา คุณยายแล้วก็เด็ก ๆ มาด้วย จะมีบ้านสำหรับครอบครัวก็จะแบ่งเป็นโซนชัดเจน เพราะว่าโซนครอบครัวก็ให้อยู่อีกฝั่งหนึ่ง โซนสำหรับสองท่านก็จะอยู่อีกด้านหนึ่งเพื่อให้ลูกค้ามีความเป็นส่วนตัว
รายได้หลักของบ้านนอกคอกนามาจากร้านอาหาร เครื่องดื่ม คาเฟ่ แล้วก็จากลูกค้าที่มาพัก ถ้าช่วงฤดูหนาวจะมีรายได้จากการขายผักและผลไม้เข้ามาด้วยเพิ่มมาอันดับที่สาม เพราะว่ามันออกมาเยอะ ก็จะเอาผักสลัดมาใส่ถุงขายให้ลูกค้ากิโลละ 180 - 200 บาท ก็จะมีรายได้จากการขายพืชผักมาด้วย แต่ช่วงฤดูฝนรายได้หลักอันดับหนึ่งเลยก็คือมาจากลูกค้าบ้านพัก อันดับสองเลยมาจากลูกค้าที่มาทานอาหารและเครื่องดื่ม ส่วนอันดับสามก็คือมาจากผลผลิต
คุณตุ้ย - คุณสาริศา เกตุทอง ที่อยู่ 469 หมู่ที่ 7 ต.วังไทร อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา 30130 FB:บ้านนอกคอกนา เขาใหญ่

