

"ชนินทรี สองเมือง : เกษตรกรไทย เพาะกล้วยไม้ ส่งขายทั่วโลก"

คนที่หยุดพัฒนาตนเอง
คือคนที่ตายแล้ว

คนเราไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร จะต้องมีการพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา ไม่สามารถหยุดนิ่งได้ เพราะว่าโลกเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามความต้องการของมนุษย์ เราจึงต้องพัฒนาตนเองอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ตามทันโลกที่หมุนไปเรื่อยๆ ไม่หยุดนิ่ง
คุณชนินทรี เริ่มอาชีพเกษตรกรหลังจากเรียนจบด้วยการปลูกกล้วยไม้อยู่ที่บ้านเกิด คือ
จ.นนทบุรี ต่อมาได้ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ที่ จ.เชียงใหม่ เพราะมีสภาพอากาศที่เหมาะสมต่อการปลูกกล้วยไม้ โดยสวนกล้วยไม้ของคุณชนินทรีจะมีกล้วยไม้มากมายหลายสายพันธุ์ และจะปลูกตามการสั่งซื้อของลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้าต่างประเทศ โดยคุณชนินทรีได้ใช้พื้นที่ประมาณ 3 ไร่ ในการปลูกโดยจะแบ่งออกเป็น 2 โซน คือ โรงเรือนผลิตไม้ดอกไม้ประดับจำนวน 2 ไร่ และปลูกไม้ผลต่างๆ อีก 1 ไร่
กล้วยไม้ในสวนของคุณชนินทรี จะมีทั้งสายพันธุ์แท้จากทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงสายพันธุ์ลูกผสมอีกหลายร้อยสายพันธุ์ที่คุณชนินทรีได้ทดลองผสมพันธุ์ขึ้นมาใหม่ เพื่อให้มีความหลากหลาย มีกล้วยไม้หน้าตาแปลกใหม่ออกมาเรื่อยๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด
ความสุขที่ได้รับจากการทำอาชีพเกษตรกร คือการได้ทำงานอยู่ที่บ้าน เป็นความสบายใจที่ได้ตื่นมาเจอกับสิ่งที่ชอบ เมื่อเราชอบอะไรก็จะทำให้สบายใจที่อยู่ใกล้สิ่งนั้น ที่สำคัญคือ ได้อยู่กับครอบครัว และสีเขียวของต้นไม้ก็ทำให้สบายตา ทำให้มีแรงที่จะทำต่อไปได้เรื่อยๆ
จากความชอบในการปลูกต้นไม้มาตั้งแต่เด็ก บวกกับความหลงใหลในเสน่ห์เฉพาะตัวของดอกกล้วยไม้ คุณชนินทรี จึงเลีอกเรียนในสาขาที่เกี่ยวกับการเกษตร และได้เริ่มต้นอาชีพเกษตรกรปลูกต้นไม้อย่างจริงจัง โดยอาศัยความรู้ทางด้านเกษตรที่ได้ศึกษามา นำมาพัฒนาให้กล้วยไม้ในสวน มีความสวยงาม หลากหลาย และมีการทดลองผสมพันธุ์ลูกผสมเป็นกล้วยไม้สายพันธุ์ใหม่ๆ ขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคุณชนินทรี พบว่า ความสุขที่ได้เป็นเกษตรกรนั้น คือการได้ทำงานอยู่กับบ้าน ได้อยู่กับครอบครัว สามารถแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่าง ๆ ร่วมกันกับครอบครัวได้ ถ้าอยากจะเริ่มต้นทำอะไรก็ปรึกษาครอบครัวซึ่งก็พร้อมจะสนับสนุนและเดินไปด้วยกัน โดยที่ไม่ต้องไปเคร่งเครียดกับการทำงานในเมือง เพราะคุณชนินทรี เคยใช้ชีวิตอยู่ใน กรุงเทพฯ จึงรู้ว่าปัญหาที่ต้องเจอจากการใช้ชีวิตในเมืองมีมากมายแค่ไหน แต่พอได้มาประกอบอาชีพที่บ้านแบบนี้ ทำให้รู้ว่า เราไม่ต้องไปแข่งขันกับใครที่ไหน แค่แข่งกับตัวเองก็พอ
คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจอยากจะทำอาชีพเกษตรกร คือ ศึกษาต้นไม้ที่ต้องการจะปลูกก่อนเป็นอันดับแรกว่าชอบแดด หรือ ชอบน้ำแบบไหน และน้ำในพื้นที่ที่ต้องการจะปลูกเป็นแบบใด เพราะน้ำมีความสำคัญกับการเกษตรมาก เพราะฉะนั้น ควรหาพื้นที่ที่มีการจัดการน้ำที่ดี รวมไปถึงศึกษาเรื่องการตลาดของพืชที่ปลูกว่า มีความต้องการของตลาดมากน้อยแค่ไหน เป็นที่ต้องการในระยะยาวหรือช่วงระยะสั้นๆ และสุดท้ายคือเรื่องของ เทคโนโลยี เพราะปัญหาส่วนใหญ่ของอาชีพเกษตรกรก็คือ ปัญหาแรงงานซึ่งหายาก เพราะฉะนั้น ถ้ามีเทคโนโลยี ที่ดี ก็สามารถนำมาใช้ทดแทนแรงงานได้
คุณชนินทรี จบการศึกษาจากคณะเทคโนโลยีการเกษตร สถาบันเทคโนโลยีเจ้าคุณทหารลาดกระบัง พื้นเพคุณชนินทรี เป็นคน จ.นนทบุรี แต่ได้เคยไปฝึกงานที่ ศูนย์พัฒนาโครงการหลวง ม่อนเงาะ ต.เมืองก๋าย อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เพราะว่าที่โครงการหลวงแห่งนี้ มีการสนับสนุนการปลูกกล้วยไม้วานิลลา ซึ่งเป็นพันธุ์ไม้ที่คุณชนินทรีมีความชื่นชอบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เพราะกล้วยไม้ชนิดนี้มีความหอมและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว คุณชนินทรี จึงเลือกที่จะมาฝึกงานที่นี่ และเมื่อได้มาจึงพบว่า โครงการหลวงม่อนเงาะ มีบรรยากาศดีมาก และ มีสภาพอากาศที่เหมาะสมสำหรับการปลูกกล้วยไม้สายพันธุ์ต่างประเทศ หลังจากฝึกงานแล้ว คุณชนินทรี จึงตัดสินใจที่จะย้ายถิ่นฐานมาประกอบอาชีพอยู่ที่ อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ เพราะต้องการทำอาชีพเกษตรกรปลูกกล้วยไม้เพราะมีสภาพอากาศที่เหมาะสม
จุดเริ่มต้น คุณชนินทรี เริ่มต้นจากการปลูก กล้วยไม้รองเท้านารีฝาหอย โดยซื้อต้นพันธุ์เดิมมาจากตลาดนัดจตุจักร เนื่องจากเป็นคนที่ชอบต้นไม้มาตั้งแต่เด็ก และไปเดินดูต้นไม้ทุกสัปดาห์ จนมีโอกาสได้ไปเจอร้านขายต้นไม้ร้านหนึ่งขาย กล้วยไม้รองเท้านารี ก็รู้สึกว่าสวยดี จึงไปคุยปรึกษากับเจ้าของร้านเรื่องการดูแลและเลี้ยงดู และได้ซื้อมาทดลองเลี้ยง 1 ต้น หลังจากนั้นจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
สำหรับการเริ่มต้นอาชีพเกษตรกรรม คุณชนินทรี เริ่มทำอาชีพเกษตรกรตั้งแต่ปี พ.ศ.2555 โดยเริ่มต้นปลูกกล้วยไม้รองเท้านารีเป็นหลัก ซึ่งตัวรองเท้านารีจะมีมากมายหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งสายพันธุ์ไทยและสายพันธุ์ต่างประเทศ โดยจะปลูกทั้งพันธุ์แท้และพันธุ์ลูกผสม แต่จะเน้นที่พันธุ์ลูกผสมเป็นหลัก เพราะว่าจะมีความหลากหลาย มีหน้าตาแปลกใหม่ออกมาเรื่อยๆ เพื่อสนองความต้องการที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ของตลาด
กล้วยไม้รองเท้านารี เป็นกล้วยไม้กึ่งดินที่เกิดขึ้นได้ทั้งที่พื้นดินบนคาคบไม้ หรือบนผนังหิน และเป็นกล้วยไม้สายพันธุ์ที่เป็นลำต้นเดี่ยว คือจะไม่ทอดยอดขึ้นไปเรื่อยๆ แต่จะเป็นการแตกกอไปข้างๆ ซึ่งลูกค้าจะนิยมนำไปเป็นไม้ประดับบนโต๊ะเพราะว่าต้นไม่ใหญ่มาก สามารถใส่กระถางตั้งบนโต๊ะ ริมระเบียง เพราะใช้พื้นที่น้อย
กล้วยไม้รองเท้านารี จะมีมากมายหลากหลายสายพันธุ์ ทั้งพันธุ์ไทยและพันธุ์ต่างประเทศ ซึ่งที่สวนของ
คุณชนินทรี จะมีกล้วยไม้รองเท้านารีอยู่ประมาณ 30 สายพันธุ์ และลูกผสมที่ผสมพันธุ์ขึ้นมาเองอีกหลายร้อยสายพันธุ์
ยกตัวอย่างการผสมพันธุ์กล้วยไม้รองเท้านารี ระหว่างพันธุ์ “เหลืองตรัง” กับ “ขาวพังงา” ซึ่งทั้ง 2 พันธุ์นี้ มีจุดเด่นที่ต่างกัน เหลืองตรัง จะมีดอกใหญ่ลายตาข่ายสีแดง เมื่อนำมาผสมกันกับ ขาวพังงา จะทำให้ได้ดอกกล้วยไม้ที่ด้านหน้าของดอกมีสีเข้มขึ้น มีจุดที่หนาขึ้น ที่สำคัญคือ เลี้ยงง่าย
การออกดอกของกล้วยไม้รองเท้านารี จะออกดอกเป็นฤดูกาล ปีละ 1 ครั้ง ไม่ได้ออกตลอดทั้งปี ขึ้นอยู่กับว่า ชนิดไหนออกดอกฤดูไหน เช่น ปีนี้ชนิดนี้ออกดอกช่วงปลายหน้าร้อน ปีหน้าก็จะออกดอกช่วงปลายหน้าร้อนเช่นกัน และเมื่อออกดอกแล้ว ตัวต้นจะอยู่ได้ 2-3 ปี แต่จะออกดอกแค่ครั้งเดียว ซึ่งการโตแบบนี้จะเรียกว่า การโตแบบยอดเดี่ยว ซึ่งจะไม่เหมือนกับสายพันธุ์แคทลียา ที่จะเป็นการแตกกอออกไปเรื่อยๆ
สำหรับการดูแลรักษา สิ่งที่ต้องระวังคือ “เพลี้ยไฟ” และ “โรคเน่า” ซึ่งจริงๆ แล้ว กล้วยไม้รองเท้านารีเป็นไม้ที่เลี้ยงง่าย แค่ต้องการความโปร่ง ไม่ทึบมาก และมีแสงแดดพอเหมาะคือ 50% ถ้าทึบเกินไปจะมีปัญหาเรื่องเน่าง่าย ในส่วนของโรงเรือนสำหรับปลูกกล้วยไม้รองเท้านารี หลักๆ คือ ต้องพรางแสงให้ได้ 50% ส่วนเรื่องหลังคาอาจไม่จำเป็นต้องใช้หลังคาพลาสติก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ แต่ถ้าเป็นการปลูกเพื่อการส่งออก การทำหลังคาพลาสติกก็จะควบคุมน้ำฝนได้ ซึ่งการควบคุมน้ำจะช่วยควบคุมโรคพืชได้ด้วย
การควบคุม เพลี้ยไฟ และ หนอน จะใช้ ชีวภัณฑ์ ฉีดเดือนละ 1 ครั้ง หรือ 2 เดือนต่อ 1 ครั้ง ซึ่งสวนของคุณชนินทรี จะไม่ค่อยฉีดยาบ่อย เพราะเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก จึงใช้วิธีคอยสังเกตว่า มี เพลี้ยไฟ หรือ หนอน ช่วงไหน ซึ่งปกติแล้ว เพลี้ยไฟ จะมาช่วงปลายร้อนต้นฝน จะเป็นช่วงที่เพลี้ยไฟระบาดมากที่สุด แต่พอเข้าหน้าหนาว เพลี้ยไฟก็จะตาย ก็จะมาเริ่มต้นวัฎจักรใหม่ตอนปลายร้อนต้นฝนอีกครั้ง ส่วน หนอน จะระบาดมากช่วงหน้าฝน ซึ่งต้องคอยฉีด ชีวภัณฑ์ และจะต้องคอยสังเกตเพราะมันจะเดินบนใบ หรือ กินใบกินดอก ถ้าเจอก็ต้องคอยฉีด ชีวภัณฑ์ กันไว้
ในส่วนของเครื่องปลูก คุณชนินทรี จะใช้หินภูเขาไฟ และ บาร์ค (เปลือกสนสองใบ) เป็นหลัก เพราะว่า หาได้ง่ายในพื้นที่ ซึ่งจริงๆ แล้ว วัสดุที่ใช้ปลูกจะไม่ตายตัว ยกตัวอย่างเช่น บางพื้นที่อาจจะใช้มะพร้าวสับ , ถ่าน , เม็ดดินเผา ซึ่งวัสดุพวกนี้ ทางแถบภาคกลางจะหาได้ง่ายกว่า
คุณสมบัติพิเศษของหินภูเขาไฟก็คือ ความโปร่งแสง สามารถกักเก็บน้ำได้ดีและให้ความชื้น ส่วน บาร์ค จะเป็นเปลือกของต้นสนสองใบ ที่นำเข้ามาจากประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งคุณสมบัติพิเศษของเปลือกสนก็คือ มีความโปร่งแสง และเป็นอินทรียวัตถุ ซึ่งให้สารอาหารกับพืชได้ด้วย
เครื่องปลูกอีกชนิดหนึ่งที่ใช้ก็คือ สแฟกนั่มมอส ที่คุณชนินทรี นำมาปลูกเอง ซึ่งเครี่องปลูกชนิดนี้จะมีคุณสมบัติที่ดีมากตรงที่มีความโปร่งแสง,เก็บความชื้นได้ดี และอมน้ำได้นาน และที่สำคัญคือไม่เป็นโรค ถือเป็นเครื่องปลูกที่ต่างประเทศยอมรับ เวลาส่งออก ถ้าห่อด้วย สแฟกนั่มมอส จะไม่มีปัญหา แต่ถ้าเป็นมะพร้าวสับ เราจะต้องล้างออกให้หมดถึงจะส่งได้ แต่ข้อเสียของ สแฟกนั่มมอส ก็คือ มีราคาสูง แต่ก็มีข้อดีที่สามารถประหยัดเวลาได้เพราะไม่ต้องล้างออกเหมือนพวกมะพร้าวสับ แค่รดน้ำทุก 2-3 วันก็เพียงพอ
วิธีการให้น้ำ ต้องดูที่ความแห้งของเครื่องปลูก ถ้าเครื่องปลูกแห้งค่อยรดน้ำ สมมุติว่า เรารดน้ำตอนเช้า แล้วตอนเย็นเครื่องปลูกแห้งถือว่าดี เช้าวันต่อไปจึงค่อยรดน้ำอีกครั้ง แต่ถ้ารดน้ำตอนเช้าแล้วพรุ่งนี้เช้าเครื่องปลูกยังเปียกอยู่ ก็ต้องเว้นไปจนกว่าจะแห้งแล้วค่อยรดน้ำอีกครั้ง ซึงทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับสถานที่ในการปลูก ถ้าปลูกบนตึก อาจจะทำให้ร้อนมากและเครื่องปลูกแห้งไว หรือบางพื้นที่ปลูกในสวนก็จะแห้งช้ากว่า ซึ่งทั้งนี้ทั้งนั้น ก็จะต้องคอยสังเกตและปรับตาม
ความเหมาะสม
ในส่วนของอาหารเสริม คุณชนินทรี จะให้ ออสโมโคท เป็นอาหารเสริมแก่พืช ซึ่ง ออสโมโคท จะเป็นปุ๋ยละลายช้า โดยจะให้ 3 เดือนต่อ 1 ครั้ง และจะฉีดพ่นทางใบประมาณ 2-3 เดือนต่อ 1 ครั้ง
สำหรับสภาพอากาศ กล้วยไม้รองเท้านารี แต่ละสายพันธุ์จะชอบอากาศแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น
พันธุ์เหลืองปราจีน ซึ่งมีที่มาจาก จ.ปราจีนบุรี ก็จะชอบอากาศร้อนและโปร่ง ไม่ชอบอยู่ในที่อับหรือแฉะเกินไป
การตลาด
คุณชนินทรี เน้นการส่งออกเป็นส่วนใหญ่ เพราะว่าพันธุ์ไม้ทั้งหมดปลูกอยู่บนดอย เป็นไม้ที่ชอบอากาศเย็น เพราะฉะนั้น การส่งออกจะง่ายกว่าเพราะความต้องการของลูกค้าต่างประเทศจะเยอะกว่า ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่จะเป็นโซนยุโรป เช่น รัสเซีย, เยอรมัน แถบเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น , อินเดีย รวมไปถึง อเมริกา ด้วย
การหาช่องทางการตลาดนั้น คุณชนินทรี ได้เริ่มจากการไปเดินดูต้นไม้ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร และได้ไปปรึกษาพูดคุยกับเจ้าของร้านขายกล้วยไม้ว่าจะขายส่งกล้วยไม้ให้ถ้ามีใบสั่งซื้อจากลูกค้า ซึ่งก็พอมีบ้าง และอีกส่วนหนึ่งก็คือ การขายออนไลน์ทาง facebook โดยการโพสต์รูปไม้ติดดอกให้สวยงาม พร้อมอธิบายวิธีการเลี้ยง ก็เริ่มมีคนติดตามและขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ
นอกจากขายไม้ติดดอกเป็นต้นแล้ว คุณชนินทรี ได้เพาะเนื้อเยื่อใส่ขวดขายด้วย ซึ่งราคาก็ขึ้นอยู่ที่สายพันธุ์ แล้วแต่ชนิดลูกผสมและความยากง่ายในการผสมพันธุ์ โดยราคาเริ่มต้นอยู่ที่ขวดละ 700-800 บาท ขึ้นไปจนถึงขวดละ 3,000-4,000 บาท แล้วพอมาเป็นไม้ก็จะมีราคาประมาณ 150-200 บาทขึ้นไป ส่วนไม้ติดดอกก็จะมีราคาตั้งแต่ต้นละ 250-300 บาท ไปจนถึงต้นละ 2,500-3,000 บาท
สำหรับแผนในอนาคต คุณชนินทรี เน้นเรื่องขายส่งเป็นส่วนใหญ่ เพราะที่สวนไม่มีคนงานเยอะ จึงเน้นส่งเป็นล็อตใหญ่โดยที่ไม่ต้องมานั่งขายปลีก และการขายก็จะขายแบบ worldwide ไปทั่วโลก ไม่ว่าชาติไหนสั่งก็สามารถทำส่งได้ทั้งหมด โดยขั้นตอนต่อไป จะขึ้นทะเบียนสวนให้ถูกต้อง ซึ่งจะทำให้การส่งออกทำได้ง่ายขึ้น
คุณชนินทรี ได้ส่งกล้วยไม้เข้าประกวดและได้รางวัลมาแล้วมากมาย โดยชนิดของกล้วยไม้ที่เข้าประกวดคือ กล้วยไม้รองเท้านารีฝาหอย
รางวัลชนะเลิศและรองชนะเลิศ การประกวด กล้วยไม้รองเท้านารีฝาหอย งานมหกรรมไม้ดอก ไม้ประดับ
จ.เชียงใหม่ ครั้งที่ 43
รางวัลที่ 1 การประกวด กล้วยไม้รองเท้านารีฝาหอย งานมหกรรมแม่วาง ครั้งที่ 7
คุณชนินทรี สองเมือง เกษตรกรผู้ปลูกกล้วยไม้รองเท้านารี อาศัยอยู่ที่ ต.เมืองก๋าย อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ 50150
FB : ร้านต้นไม้ by สวนสายหมอก & โฮมสเตย์


