

"เรืองศรัณ สิงห์สม : ครอบครัวเกษตรอินทรีย์ เรียบง่าย แต่ได้(สุข)มาก"

ผ่านมาได้ด้วยความพอเพียง

ชีวิตของคุณเรืองศรัณในวันนี้ ได้ผ่านอุปสรรคปัญหานานา เคยเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจจนต้องกลับมาทำนาที่บ้าน เคยประสบอุบัติเหตุจนเดินไม่ได้ร่วมปี ต้องให้พี่สาวคอยดูแล เมื่อกลับมาทำนาอีกครั้งจึงหักดิบเลิกใช้สารเคมีโดยสิ้นเชิง จนถึงวันนี้ เขามีความสุขอย่างพอเพียงบนผืนนาของตนเอง ที่ปลอดสารพิษใด ๆ มีสุขภาพที่ดี มีชีวิตที่ร่มเย็น อุดมสมบูรณ์ อยากกินอะไรหาได้รอบๆ ตัว และยังมีรายรับเข้ามาทุกวัน มีฐานเศรษฐกิจที่อยู่ได้ และปัจจุบันมีลูกชายมาช่วยสืบต่อการทำงานของเขา ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา
คุณเรืองศรัณใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายตามครรลองของสังคม เรียนจบก็เข้าไปทำงานในเมือง เมื่อถึงจุดหนึ่งก็กลับมาทำงานที่บ้าน ยึดอาชีพทำนาที่พ่อแม่ใช้เลี้ยงครอบครัวมา และยังใช้ชีวิตชาวนา วิถีการทำนาอย่างที่พ่อแม่เคยทำ แต่จุดเปลี่ยนของคุณเรืองสรัณเกิดขึ้นตอนที่สุขภาพของตนเอง และภรรยาเริ่มไม่ดี จึงแน่ใจว่าเป็นเพราะสารเคมีที่ตนเองใช้ในนาข้าวเป็นแน่ ยุทธการหักดิบการใช้สารเคมีจึงเกิดขึ้น
เมื่อหันมาทำนาอินทรีย์ คุณเรืองศรัณศึกษาและลงมือทำอย่างจริงจัง จนจะว่าไปแล้วผืนนาของเขาอาจจะเป็นที่รวบรวมความรู้ด้านการทำนา ปลูกผักอินทรีย์ไว้เลยทีเดียว ความจริงจังของเขาทำให้เขาลดต้นทุนไปได้จากเดิมมากกว่าครึ่ง และทำให้ได้ผลผลิตคุณภาพดี ข้าวนุ่มและมีกลิ่นหอม ทำให้ผลิตผลของเขาขายได้หมดในทุกครั้ง และที่สำคัญคุณเรืองศรัณขายข้าวในราคาไม่แพงเลยเมื่อเทียบกับคุณภาพที่มี เขาถือเป็นการช่วยคนไทยด้วยกัน ไม่ให้ต้องซื้อข้าวในราคาแพงจนเกินไป และจากการทำงานอย่างจริงจัง ตั้งใจ และเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่แล้ว ทำให้ข้าว “ไร่เรืองศรัณ” เป็นผลผลิตที่สร้างชีวิต สร้างรายได้ และให้สุขภาพที่ดีแก่เขาอย่างแท้จริง
ถึงแม้จะเป็นลูกเกษตรกร เมื่อเรียนมัธยมปลายจบ คุณเรืองศรัณก็เลือกที่จะทิ้งเทือกสวนไร่นา มาทำงานในเมือง คุณเรืองศรัณเป็นเซลล์อยู่หลายปี จนกระทั่งช่วงปี 2540 เกิดวิกฤติเศรษฐกิจ จึงกลับมาบ้าน และเริ่มต้นทำนาตั้งแต่นั้น
ในช่วงแรก คุณเรืองศรัณทำนาเชิงเดี่ยว ปีละครั้ง ใช้สารเคมีมาตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมดินจนถึงขั้นตอนการเก็บเกี่ยวเลยทีเดียว ทำแล้วส่งโรงสี จนกระทั่งปี 2558 เริ่มไม่สบาย ทั้งเขาและภรรยาเริ่มสุขภาพไม่ค่อยดี อีกทั้งปัญหาราคาข้าวที่ตกต่ำ และตนเองยังทำนาข้าวแต่เพียงอย่างเดียว ยิ่งทำให้สถานการณ์ชีวิตยิ่งเลวร้ายไปกันใหญ่ จึงหักดิบ เริ่มต้นทำนาอินทรีย์ตั้งแต่นั้นมา
เมื่อพบเจอแต่ปัญหา คุณเรืองศรัณไม่ย่อท้อเลือกที่จะเดินหน้าเรียนรู้แก้ปัญหา เขาได้เข้าไปเรียนรู้ในแหล่งเรียนรู้เกษตรอินทรีย์ และได้นำสิ่งที่เรียนรู้นำมาปรับเปลี่ยนวิธีคิดของตนเองเป็นอันดับแรก จากเดิมที่เคยพึ่งแต่สารเคมี จากเดิมที่เคยทำแต่นาเพียงอย่างเดียว หันมาเปลี่ยนแปลงพื้นที่นาของตนให้เป็นอินทรีย์ และปลูกพืชชนิดอื่นๆผสมผสานกับนาไปด้วยควบคู่กัน และนำข้าวพันธุ์ไรซ์เบอร์รี่มาทดลองปลูก จากเดิมที่ปลูกข้าวขาวธรรมดา
คุณเรืองสรัณเริ่มศึกษาการปลูกพืชด้วยอินทรีย์จากโบรชัวร์ เนื้อหามีตั้งแต่การเตรียมดิน การทำจุลินทรีย์ การทำฮอร์โมนทุกชนิด หลังจากอ่านเขาก็ลงมือทำเลย ทีละน้อย ๆ ถือเป็นการทดลองก่อน ตอนเริ่มต้นพื้นที่เป็นดินแดงทั่ว ๆ ไป ต้องเตรียมดินใหม่ทั้งหมด ปีแรกผลผลิตยังได้ไม่ดีเท่าไหร่ ข้าวที่ปลูกตอนนั้น เป็นพันธุ์กข.สุพรรณบุรีทั่วๆไป 49 41 23 พันธุ์ทั่ว ๆ ไป ไรซ์เบอรี่เพิ่งมาทำช่วง 2 ปีหลัง
ในช่วงแรกที่ทำ คุณเรืองศรัณไม่ได้ประสบปัญหาอะไร เขาเตรียมดินอย่างที่เรียนรู้มา ทำตามฤดูกาล ก็ไม่ค่อยเป็นโรคอะไร เมื่อทำตามฤดูกาล ต้นทุนก็ถูก ข้าวก็ไม่ค่อยได้ดูดน้ำฝน เพราะข้าวเป็นพืชที่ไม่ต้องการน้ำมากเท่าไหร่ ปีแรกที่ทำนาอินทรีย์ เขาได้ข้าว 500 กิโลกรัมต่อไร่ ก็ถือว่าได้เท่า ๆ กับคนอื่น แต่ต้นทุนของคุณเรืองสรัณจะถูกกว่า จากเดิมเคยทำ ต้นทุนประมาณ 3,000 – 4,000 บาทต่อไร่ พอเปลี่ยนเป็นทำนาอินทรีย์ ต้นทุนเหลือประมาณ 1,000 – 1,500 บาทต่อไร่ และสิ่งที่ได้คือ สุขภาพกลับมาแข็งแรง ไม่ป่วยง่ายเหมือนเดิม แต่มีรายได้เข้ามาทุกวัน ทุกอย่างเป็นรายได้หมด แม้ประทั่งปุ๋ยหมักก็สร้างรายได้ให้ เพราะคนอื่นๆ ไม่ทำเอง มาซื้อจากเขา
จากวันแรกที่เริ่มต้นทำนา จนถึงวันนี้ เขาทำข้าวขาวพันธุ์ทั่วไป 15 ไร่ ไรซ์เบอร์รี่ 3 ไร่ แต่เร็ว ๆ นี้จะปรับใหม่เป็นข้าวไรซ์เบอร์รี่ 5 ไร่ ข้าวหอมมะลิ 5 ไร่ เพื่อทำตามตลาดต้องการ เน้นทำในสิ่งที่ตัวเขาเองกินเองด้วย โดยขายทางไลน์ และออกบูธในที่ต่าง ๆ โดยใช้ชื่อแบรนด์ว่า “ไร่เรืองศรัณ” ในราคากิโลกรัมละ 60 บาท ซึ่งถือว่าถูกกว่าทั่วไป
นอกจากข้าว คุณเรืองศรัณยังมีข้าวโพด อ้อย ถั่วเขียว โดยปลูกในพื้นที่เดียวกัน ปลูกสลับกันไป ข้าวโพด เป็นข้าวโพดข้าวเหนียวพันธุ์ม่วงแต้ม ทั้ง 3 อย่างนี้ ช่วยสร้างรายได้ให้นอกจากข้าวที่มีอยู่
นอกจากนั้น ตอนนี้คุณเรืองสรัณอยู่ในกลุ่มสภาเกษตรของไร่พริกไทย แล้วก็กลุ่มอนุรักษ์การท่องเที่ยวเชิงเกษตร ซึ่งอยู่ในระหว่างการปลูกพืชสมุนไพร และพืชอินทรีย์ และการขุดบ่อเลี้ยงปลาเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว เพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของครอบครัวได้อีกแหล่งหนึ่ง โดยตั้งใจกันว่า จะทำงานแบบไม่ใช้ทุน จะค่อย ๆ ขยับขยายกันไป และก็คงเป็นรายได้ให้เขาได้อีกในอนาคต
ไม่นานคงได้ยล แสงจันทร์ฉาย
แผ่นดินแล้งขาดชล จนแตกลาย
ยังหวังสายฝนโปรยโรยลงมา
อุปสรรคหนักหนาแสนสาหัส
จงยืนหยัดอยู่ด้วยใจกล้า
ขอกุศลผลบุญช่วยนำพา
ให้ปีนี้ปีหน้า สบาย ...เอย”
คุณเรืองศรัณ สิงห์สม
เลขที่ 9/1 ม.4 ต.บึงปลาทู
อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์
60180


