

"ปรรณศักดิ์ กตัณณ์ณาพงศ์ : คำตอบของอาชีพอิสระ อยู่ในแปลงนาข้าว"

คือแรงผลักดัน ไม่ว่าอุปสรรคใดก็ผ่านไปได้

ถึงแม้บรรพบุรุษจะเป็นชาวนา แต่คุณโต้งก็ไม่เคยทำนาอย่างจริงจังมาก่อน เมื่อต้องมาลงมือทำจริง ๆ การเรียนรู้จากผู้อื่นจึงสำคัญ นอกจากนั้น ก็คือการเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง ที่ค่อยๆ อยู่ ค่อย ๆ เรียนรู้ ค่อย ๆ ปรับให้อยู่ในสภาวะที่ลงตัวที่สุด และเมื่อถึงวันนี้ ที่ก้าวเข้ามาสู่ปีที่ 3 ของการทำนา ชีวิตของคุณโต้งอยู่ในระดับที่พึงพอใจ มีความสุขกับความเป็นอยู่ของตัวเอง มีอิสระเรื่องเวลา อยากทำอะไรก็ทำ มีรายได้รายวันจากผักและไข่ไก่ และราย 4 เดือนจากการขายข้าว และมีโครงการต่างๆ ที่อยู่ในระหว่างการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเพื่อให้ที่นาของพ่อ 6 ไร่เป็นแผ่นดินทองให้ครอบครัวได้มากที่สุด
นอกจากนั้น การมีเครือข่าย Young Smart Farmer ของคุณโต้งก็เป็นเครือข่ายที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้การทำการเกษตรระหว่างกันได้เป็นอย่างดี อย่างน้อยก็มีที่ปรึกษา มีเครือข่ายให้คำแนะนำซึ่งกันและกัน และนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของความสุขในวันนี้ของคุณโต้งด้วยเช่นกัน
คุณโต้งเริ่มการทำนาจากการเรียนรู้จากคนอื่นแบบทำตามกันมา จึงยังใช้สารเคมีอยู่ หลังจากนั้น เมื่อทำได้สักพักหนึ่ง ก็เข้าโครงการ Young Smart Farmer ได้เรียนรู้การใช้และการทำปุ๋ยชีวภาพ เขาจึงนำมาผสมผสานในการทำนาของเขา โดยที่ยังใช้สารเคมีอยู่ แต่เบาบางลง
เหตุที่เขายังใช้สารเคมีอยู่ เพราะกลัวว่าผลผลิตจะน้อยลง จึงใช้วิธีค่อย ๆ ปรับเปลี่ยน เพราะบางครั้งเจอเพลี้ยหนัก ๆ ก็ยังจำเป็นต้องใช้สารเคมี สำหรับเขาสารเคมียังจำเป็นในภาวะวิกฤต
และเมื่อเขาได้ผลผลิต เขาก็ส่งข้าวไรซ์เบอร์รี่ไปยังกลุ่มเพื่อน Young Smart Farmer ที่ทำเหมือนกัน โดยส่งไปให้เพื่อนทำแบรนด์ เพราะเพื่อนมีตลาดของเขาอยู่แล้ว ส่วนคุณโต้งยังไม่พร้อมทำแบรนด์เอง ส่วนข้าวหอมปทุมสำหรับขายคนทั่วไป
ในการทำงานนั้น อุปสรรคมีมาทดสอบใจเป็นธรรมดา คุณโต้งเองก็เช่นกัน ปีที่แล้วที่นาของเขาเจอน้ำท่วมตั้งแต่เดือนพฤษภาคมจนถึงเดือนกรกฎาคม นาข้าวเสียหายไปครึ่งหนึ่ง คุณโต้งท้อจนเกือบจะเลิกทำนา แต่ได้กำลังใจจากเพื่อนกลุ่ม Young Smart Farmer จึงสู้ต่อ หลังจากที่น้ำท่วมก็เหลือปลูกข้าวไรซ์เบอร์รี่จาก 20 ไร่เหลือ 10 ไร่ แต่ยังได้ค่าพันธุ์ ค่าเตรียมดินคืน แต่ไม่ได้กำไร ส่วนข้าวหอมปทุมมาเจอจังหวะที่ ข้าวราคาดีแต่ก็ไม่ได้ปริมาณเพราะติดหน้าหนาว พอหว่านไปได้ประมาณไม่ถึงเดือน ราวๆ 20 วัน อากาศหนาวจัด ทำให้ข้าวเหลือง หลังจากนั้นเพลี้ยลง แต่ว่าลงไม่มาก ก็ใช้สารชีวพันธุ์ไปฉีด โดยรอบนี้ทำเองทั้งหมด เพราะไม่มีเงินจ้างใครแล้ว แต่ว่าในขั้นตอนเตรียมดินนี้ยังจ้างเค้าอยู่ โดยให้เขามาเตรียมดินไว้ให้ก่อน พอได้ผลผลิตก็เอาไปให้ เขาเข้าใจ เพราะปีที่แล้วน้ำท่วมกันหมด
เมื่อเจอเหตุการณ์น้ำท่วมแล้ว สิ่งที่เขาจะทำต่อไปคือ จะลดการทำนา และทำไร่นาสวนผสมแทน เช่น เลี้ยงปลา ปลูกมะพร้าว แต่อยู่ในขั้นเตรียมการ นอกจากนั้น ทางชุมชนกำลังทำแผนท่องเที่ยวของชุมชนอยู่ จะให้เป็นแหล่งท่องเที่ยววิถีเกษตร จะเน้นศักยภาพของแต่ละหมู่บ้านว่าในหมู่บ้านมีใครทำอะไรบ้าง อยู่ในช่วงพูดคุยพัฒนา
นอกจากนั้น สำหรับตัวคุณโต้งเอง เตรียมทำแบรนด์ไข่ไก่อารมณ์ดี ตอนนี้ทดลองเลี้ยงอยู่ มี 40 ตัวเหลือ 30 ตัว การเลี้ยงของเขาคือ ไม่ใส่ยาปฏิชีวนะไม่ใช้ยาเร่ง โตกึ่งอินทรีย์ คือใช้วัตถุดิบของอาหารพวกข้าวรำปลายผสมหยวกกล้วยแล้วก็ผักสมุนไพรเอา นอกจากนั้นมีฟ้าทลายโจร บอระเพ็ด ขมิ้นชัน ใบขี้เหล็ก ใบฝรั่ง
เหตุที่ต้องหารายได้เสริม เพราะการทำนาของเขา ต้นทุนต่อรอบจะอยู่ที่ประมาณ 60,000 ถึง 70,000 บาท ต่อ 40 ไร่ และจะขายได้ประมาณ 100,000-130,000 บาท หักต้นทุนแล้วก็เหลือประมาณ 30,000 - 40,000 บาท ต่อรอบ รอบละประมาณ 4 เดือน จึงคิดจะปลูกผัก เลี้ยงไก่เพิ่มเติม เพื่อให้มีรายได้มาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่ากับข้าวรายเดือน และเป็นการใช้ชีวิตแบบไม่ต้องไปซื้อหรือซื้อให้น้อยที่สุด จึงปลูกผัก เลี้ยงไก่ เข้าร่วมกับเกษตรอำเภอเป็นโครงการเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวง เป็นกลุ่มวิสาหกิจเหมือนกันในอำเภอนี้แต่อยู่คนละตำบล และเตรียมทำข้าว กข 43 ที่มีน้ำตาลน้อยสำหรับคนเป็นโรคเบาหวาน ก็ถือว่าต้องปรับเปลี่ยนไปตามสภาวะ
จุดเปลี่ยน.......
ก่อนจะผันตัวมาเป็นเกษตรกร คุณปรรณศักดิ์ หรือ คุณโต้ง มีอาชีพเป็นเจ้าหน้าที่ข้อมูลและวางแผนงานการผลิต ให้กับบริษัทผลิตอาหารแห่งหนึ่ง เริ่มทำงานตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 จนถึงปี พ.ศ. 2553 ระยะเวลากว่า 13 ปี จนถึงจุดอิ่มตัว จึงกลับมาเปิดร้านขายของชำอยู่ที่บ้าน แต่ทำได้ไม่นาน คุณพ่อของคุณโต้งได้เสียชีวิตไป และคุณแม่ก็เกิดอาการล้มป่วย คุณโต้งจึงตัดสินใจมาทำนาต่อจากพ่อ เพราะท่านได้ทิ้งที่นาจำนวน 6 ไร่ไว้ให้กับตน
เมื่อคุณโต้งเริ่มต้นทำนา จากที่เคยช่วยพ่อแม่ทำประเดี่ยวประด๋าว ไม่ได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง คุณโต้งก็ต้องมาเริ่มเรียนรู้การทำนาใหม่ทั้งหมด โดยถามเอาจากเพื่อนบ้าน จากสมัยเด็ก ๆ ที่ใช้คนดำคนเกี่ยว ตอนนี้มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ก็ต้องมาเรียนรู้เทคโนโลยีเพิ่มเติม และสิ่งที่สำคัญ คือค้นหาวิธีที่เพิ่มปริมาณข้าวที่จะได้ และหาวิธีลดต้นทุนจากการทำนาให้ได้มากที่สุด มากกว่าสมัยที่พ่อทำ
เมื่อกลับมาทำนาตามบรรพบุรุษ คุณโต้งทำนาเองทั้งหมด 40 ไร่ โดยเริ่มจากการสอบถามจากคนทำนาข้างเคียงว่าทำอย่างไร และคอยสังเกตดู จากนั้นสิ่งแรกที่ทำคือ ย่ำนาเอง และก็ทำตามสิ่งที่เขาทำๆ กันอยู่ โดยช่วงแรก ปลุกข้าว กข 57 - 20 ไร่ และข้าว 41 - 20 ไร่ จากที่เคยทำชั่วครั้งชั่วคราว ครั้งนี้ต้องทำจริงจังเพื่อหาเลี้ยงชีพ เขาจึงต้องเรียนรู้มาก ปรับตัวสูง และต้องละเอียดลออในการปลูกมาก สำหรับเขามันยากไปหมด ทั้งการเตรียมดิน ซึ่งเมื่อก่อนเคยดูง่าย แต่เมื่อลงมือทำเองก็พบว่ามันยากใช่น้อย เพราะพื้นที่นาของเขามันเป็นโคกตรงนั้น เป็นหลุมตรงนี้ เป็นบ่อ ต้องปรับพื้นที่ ต้องมาเรียนรู้ว่าจะปรับอย่างไร เพราะเขาไม่เก่งเรื่องเครื่องมือการเกษตร และไม่เคยทำงานหนัก ไม่เคยลุยเลย เคยทำแต่โรงงาน พ่อก็ไม่เคยให้จับเลย พอมาลุยเองตอนแรกคุณโต้งท้อใจมาก เพราะทำคนเดียว แต่โชคดียังมีแม่คอยแนะนำ ช่วงแรก ๆ จ้างคนแค่มาตีดินให้เท่านั้น เพราะถ้าทำเองใช้เวลาเป็นอาทิตย์ แต่ถ้าจ้างเขาใช้เวลาเพียง 2 วัน ก็หว่านได้
ช่วงแรก ๆ ที่ทำนา คุณโต้งยังใช้สารเคมีทุกอย่างตามแบบที่พ่อและชาวนาคนอื่นทำมา หลังจากนั้น เขาก็มาเข้ากลุ่ม Young Smart Farmer โดยการแนะนำของพี่ที่ออกมาจากบริษัทเหมือนกัน เขาแนะนำให้ไปเข้ากลุ่มดู ก็ไปเรียนรู้ในหลาย ๆ จังหวัดในเขตกลุ่มภาคกลาง อาทิ จังหวัดชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง อยุธยา ลพบุรี ปราจีนบุรี ปทุมธานี กรุงเทพ ฯ ก็ไปอบรมและได้เครือข่ายในกลุ่มคนที่ทำนา ปลูกผัก ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ การไปอบรมครั้งหนึ่งสามสี่วันนั้น ทำให้เขามีความรู้เรื่องการปลูกข้าว ทำนามากขึ้น ได้รู้จักการทำนาในรูปแบบอินทรีย์ จากการทำนาครั้งแรก 35 ไร่ได้ข้าว 28 เกวียน ถือว่าได้เยอะที่สุดและมากกว่าสมัยที่พ่อทำ แต่เขายังใช้ปุ๋ยเคมี และฉีดยาสารชีวพันธุ์ผสมผสานไปด้วยกัน
จากเดิมในยุคสมัยที่พ่อทำนา ได้ข้าวจำนวนเยอะเนื่องจากการใช้ปุ๋ยเคมีและสารเคมีที่ช่วยเร่งผลผลิต แต่เมื่อต้องซื้อทุกอย่าง จึงทำให้ต้นทุนในการทำนาเพิ่มสูงขึ้นไปด้วย ถึงแม้จะได้ข้าวไปขายในจำนวนมากๆ แต่เมื่อหักลบต้นทุนออก ก็จะเหลือกำไรเพียงไม่กี่พันบาท หรือในบางปีที่มีภัยพิบัติ ก็ไม่เหลือกำไรเลย คุณโต้งจึงค้นคว้าหาวิธีลดต้นทุนการทำนา โดยเริ่มจากการคัดเลือกเมล็ดพันธุ์ข้าวด้วยตนเอง ลดการใช้สารเคมี ทั้งในรูปแบบของปุ๋ยเคมี และยาฆ่าแมลง โดยให้มาใช้น้ำหมักชีวภาพและสารชีวพันธุ์ เพื่อช่วยบำรุงต้นข้าวและปราบศัตรูพืชไปพร้อมๆกันอีกด้วย
หลังจากที่คุณโต้งได้ทดลองทำการลดต้นทุนการทำนาในทุกรูปแบบ ผลผลิตที่ได้ถึงแม้จะมีไม่เท่าการทำนาแบบเคมีที่พ่อตนเคยทำ แต่ในเรื่องความปลอดภัยของสุขภาพ และสิ่งแวดล้อมที่ดี การทำนาแบบปลอดภัยนี้มีมากกว่าการทำนาแบบเคมีอย่างแน่นอน
คุณปรรณศักดิ์ กตัณ์ณาพงศ์
ที่อยู่ บ้านหนองตาตน
เลขที่ 90 หมู่ 3 ต.อู่ตะเภา
อ.มโนรมย์ จ.ชัยนาท
17110


